Breaking News
Home » รู้ไว้ไกลโรค » อันตรายจากการกินน้ำตาล ของหวาน

อันตรายจากการกินน้ำตาล ของหวาน

น้ำตาล ความหวานที่ใครๆ ก็ชอบมากเหลือเกิน เพราะมันอร่อยหนะสิ

อันที่จริงแล้ว น้ำตาลก็ถือเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนะถ้ามีน้อยเกินไปก็อันตราย หากแต่ถ้าเรากินมากเกินไป จากสิ่งที่เป็นประโยชน์นี้ก็เป็นโทษมหันตร์มากมายเลย มันจะกลายเป็นสารพิษ

ฉะนั้นระดับน้ำตาลในเลือดจำเป็นต้องพอดีพอเหมาะ

ถ้าน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 50 มก.% สมองไม่ทำงาน

ถ้าน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 มก.% ก็จะรู้สึกหิว

ถ้าน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 100 มก.% มีแนวโน้มเกิน

ถ้าน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 126 มก.% เป็นเบาหวาน

ฉะนั้นน้ำตาลที่พอเหมาะควรจะมีน้ำตาลในเลือดประมาณ 70-100 มก.% 

เอาจริงๆ ผมว่าน้ำตาลไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราต้องกินนะ เพราะการที่เรากินผัก กินแป้ง กินข้าว พอถูกย่อยพวกนี้ก็เป็นน้ำตาลแล้วเหมือนกัน แต่ที่เรามีน้ำตาลใช้มันคือความชาญฉลาดของมนุษย์ที่ต้องการได้กินของอร่อย เท่านั้นเอง

สำหรับอาหารที่มักจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดมากขึ้นมากๆ เกิดจาก

  1. เครื่องดื่มหวานๆ น้ำตาลที่อยู่ในน้ำนั้นมากแบบหลายช้อนโต๊ะมาก ซึ่งเมื่อดื่มเข้าไปแล้วเพียงแค่ 2-3 นาที น้ำตาลเหล่านั้นก็จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดทั้งหมด เราจึงรู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่ดื่ม เพราะมันไปกระตุ้นให้เราหลั่งสารโดพามิน สารแห่งความฟิน พอเป็นแบบนี้บ่อยๆ เราก็จะกลายเป็นคนติดหวาน แม้รู้ว่ากินน้ำตาลมากๆ จะไม่ดีต่อร่างกาย แต่ก็อดไม่ได้ ติดหวานก็เหมือนติดสารเสพติด เมื่อวันไหนที่ไม่ได้ดื่มก็จะรู้สึกไม่มีแรง หงุดหงิด อย่างกับคนลงแดง
  2. แป้ง ข้าว อันนี้จะมีการย่อยให้เป็นน้ำตาลในบริเวณลำไส้แล้วดูดซึม แต่เรื่องนี้เราไม่ค่อยกินมากหรอกเพราะเรามีลิมิตความอิ่ม แต่เรื่องของหวานนี่สิ ยิ่งกินยิ่งอร่อย อันนี้ต่างหากที่ทำให้น้ำตาลในร่างกายเราเกินทุกวัน

คนเราสามารถให้น้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้ ประมาณไม่เกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม ถ้าเกินกว่านั้นบ่อยๆ ทุกวันๆ ไม่ใช่เพียงแค่จะเป็นโรคเบาหวานอย่างเดียวนะ แต่อาจส่งผลให้เราเป็นความดัน ไขมัน อ้วน หัวใจ เลือดข้นเหนียว แก่กว่าวัย และมะเร็งได้แบบง่ายดายเลย

ฉะนั้นวันนี้เรามารู้ข้อมูลกันดีกว่าว่า เครื่องดื่มที่เรากินในแต่ละวันนั้นมีน้ำตาลประมาณเท่าไหร่

  1. น้ำอัดลม 30 – 54 กรัม
  2. น้ำเกลือแร่ 39 กรัม
  3. น้ำชาเขียว 15 ช้อนชา
  4. น้ำผลไม้กล่อง 20 กรัม (ไม่รวมความหวานจากผลไม้) 
  5. ซอสมะเขือเทศ มีน้ำตาล 25% ของส่วนผสมทั้งหมด
  6. โกโก้เย็น 10.8 ช้อนชา
  7. ชานม/กาแฟเย็น 11 ช้อนชา
  8. นมเย็น 12.3 ช้อนชา
  9. ชาดำเย็น 12.5 ช้อนชา
  10. ชามะนาว 12.6 ช้อนชา
  11. มอลต์ช็อกโกแลต 13.3 ช้อนชา
  12. น้ำแดงโซดา 15.5 ช้อนชา
  13. เครื่องดื่มสูตรไม่มีน้ำตาล ไม่มีน้ำตาลจริงแต่มีสารให้ความหวานแทนน้ำตาลนะ

นอกจากนี้ให้ลองดูส่วนผสมข้างขวดก่อนดื่นเองนะครับ

เห็นไหมครับว่าบางอย่างเราเพียงเกินแค่แก้วเดียว เหมือนกับเราได้รับน้ำตาลมากกว่ากินข้าวเป็นชามๆ ซะอีก และการกินเครื่องดื่มพวกนี้แม้จะดื่มเอาน้ำตาลเข้าร่างกายมากมายแล้วก็ยังคงทำให้เราหิวจำเป็นต้องกินข้าวอยู่ดีเพราะน้ำตาลพวกนี้เข้าร่างกา่ยแบบมาก เร็วและรุนแรง ไม่อยู่ท้อง ช่วงที่น้ำตาลขึ้นสูง ตับก็ทำงานหนัก เหมือนเราเอาน้ำตาลไปกระแทกร่างกายแรง แล้วปล่อย แม้จะแป๊บเดียวก็เจ็บ เราจึงยังต้องกินข้าวอีก น้ำตาลก็เกินเข้าไปเรื่อย 

ทำให้คนไทยมีอัตราเฉลี่ยกินน้ำตาลต่อวันมากถึง 61 กรัม (15.25 ช้อนชา) เลยทีเดียว มากกว่ามาตรฐานถึง37 กรัมหรือ 9. 25 ช้อนชาเลย และค่าเฉลี่ยนี้จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นี่แหละครับ คือสาเหตุที่ปัจจุบันมีผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้นรวมทั้งโรคร้ายอื่นๆ ด้วย และยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคเบาหวานด้วย วันนี้เราอาจจะยังไม่เป็นโรคร้ายอะไร อย่าชะล่าใจ มันกำลังซ่องสุมกองทัพร้ายๆ แบบเงียบๆ อยู่ข้างใน วันไหนช่วงเวลาเหมาะ มันจะลุกขึ้นมาสร้างโรคร้ายให้เราอย่างแน่นอน จงตัดไฟไว้ซะตั้งแต่ต้นลมดีกว่าครับ

ฉะนั้นก่อนจะหยิบเครื่องดื่มอะไรมาดื่ม แล้วเช็คข้างขวดก่อนนะครับว่า มีน้ำตาลเท่าไหร่ในขวดนี้ คิดดีๆ ก่อนดื่มหละกัน

#ไม่ได้คิดโจมตีใครแค่อยากให้ผู้อ่านตระหนักรู้ก่อนหยิบเข้าปาก

 

About admin

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*