โรคเบาหวาน เกิดจากที่รางกายผิดปกติในการผลิตฮอร์โมนที่ชื่อว่าอินซูลิน โดยมีการผลิตอินซูลินที่น้อยเกินไปไม่เพียงพอที่ร่างกายจะต้องใช้
สำหรับอินซูลิน มีหน้าที่ดักจับน้ำตาลที่อยู่ในระบบเลือด เพื่อน้ำไปผลิตเป็นพลังงานของร่างกาย เปรียบเสมือนรถบรรทุกอ้อยป้อนเข้าโรงงาน
ส่วนน้ำตาลที่จะเข้าสู่ร่างกาย มี 2 ประเภท คือน้ำตาลเชิงเดียว (น้ำตาลนั่นแหละ) กับน้ำตาลเชิงซ้อน (แป้ง) เมื่อเข้าสู่ร่างกายอินซูลินจะคอยจับไม่ให้เหลือ เพราะหากเหลือน้ำตาลจะไปเกาะกร้ามเนื้อทำให้เซลล์เสื่อมเหมือนเป็นสนิมร่างกาย ยิ่งเรากินน้ำตาลมาก มีปริมาณน้ำตาลในเลือดสูง ตับอ่อนก็ต้องผลิตอินซูลินมากกว่าปกติ ซึ่งไม่ว่าอะไรก็ตามหากทำงานหนักเกินไปก็จะพังง่ายเป็นธรรมดา
คนที่เป็นเบาหวานเกิดจากเขาติดน้ำตาลมาก เพราะน้ำตาลเป็นสารเสพติดชนิดถูกกฎหมายชนิดหนึ่ง ยิ่งติดยิ่งเพิ่มปริมาณการกินมากขึ้น ยิ่งมาก ตับอ่อนทำงานหนักขึ้น สะสมอยู่นานสักระยะหนึ่ง และตับอ่อนก็ไม่ไหว ก็ล้าและค่อยๆ ผลิตอินซูลินได้น้อยลง เมื่ออินซูลินน้อยลง แต่น้ำตาลยังมีมากเท่าเดิม น้ำตาลก็ล้น บรรทุกเข้าโรงงานไม่ทัน น้ำตาลที่ค้างก็เป็นสารพิษตกค้าง เกิดภาวะที่ผมเรียกว่า “น้ำตาลเป็นพิษ” แม้ถงวันนั้นเราจะกินน้ำตาลไม่เกินมาตรฐาน อินซูลินก็มีปริมาณน้อยเกินกว่าที่มันจะเก็บได้หมดแล้ว
เมื่อระดับน้ำตาลของเราเกิน 120 mg/dL เราก็ได้รับข่าวว่าเป็นโรคเบาหวานทันที
ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ก็ไม่ต่างจากผู้ติดสารเสพติดขั้นรุนแรง ติดน้ำตาลมาก ชนิดที่หากน้ำตาลในเลือดตก จะเวียนหัว หงุดหงิด ไม่สบายตัว เหมือนอาการลงแดง
กรณีเช่นนี้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระดับน้ำตาลในเลือดจึงสูงขึ้น หากปล่อยไว้ในระยะยาวจะส่งผลให้เกิดการทำลายหลอดเลือด และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่รุนแรงมากขึ้น เพราะภาวะน้ำตาลเป็นพิษ สร้างสนิมให้เซลล์กล้ามเนื้อทุกส่วนที่น้ำตาลไปจับ
โรคเบาหวาน แม้จะร้ายกาจและรุนแรงแต่ก็มีหลายคนอาจมองว่าเป็นโรคไกลตัว และเป็นคำพูดล้อคนที่กินน้ำตาลมาก เตือนกันแบบหยอกเย้า
แต่รู้หรือไม่ว่า ยุคนี้สมัยนี้ โรคเสื่อมที่ชื่อว่า เบาหวาน กลับเป็นโรคที่คนเสี่ยงเป็นกันเยอะมาก ไม่ว่าจะวัยไหน ไม่ต้องรอแก่เลย เพราะสมัยนี้มีผลวัจัยว่า คนไทยกินน้ำตาลโดยเฉลี่ยแล้วมากกว่า 6 ช้อนชาต่อวัน เมื่อน้ำตาลเกินแบบนี้ทุกวัน ตับอ่อนก็ทำงานหนักขึ้น จนมีโอกาสชำรุดสูงมาก ณ ตอนนี้เราอาจจะยังไม่เป็น แต่ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมที่จะเป็น หากยังไม่สนใจในเรื่องอาหารการกิน มันกำลังสะสมแต้มให้ถึงขนาด ครบเมื่อไหร่เบาหวานก็จะมาเยือน
องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกเป็นจำนวนมากกว่า 425 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 642 ล้านคนในปี
พ.ศ. 2583 จากผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทย เมื่อปี 2557 พบว่าคนไทยประมาณ 4.8 ล้านคนเป็นโรคเบาหวาน และมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี
มากกว่า 4.7 ล้านคน เป็นเบาหวาน
มากกว่า 1.3 ล้านคน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็น
โรคคร่าชีวิต อันดับ 4 ของโรคร้าย
เฉลี่ย 8 วินาที มีคนตายเพราะเบาหวาน 1 คน
วัยผู้ใหญ่ 1 ใน 11 คน เป็นโรคเบาหวาน และ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร้อยละ 50 ไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งคุณเองก็อาจเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้
บุคคลที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน และควรได้รับการตรวจคัดกรอง ได้แก่
- ผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่อ้วน (มีค่าดัชนีมวลกายหรือ BMI มากกว่า 25) และมีญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน ผมเชื่อว่า เบาหวานน้อยรายที่ส่งผ่านกันทางกรรมพันธุ์ แต่ส่วนมากส่งผ่านกันทางพฤติกรรมเลียนแบบ มีหรือพ่อแม่ติดหวาน แล้วลูกจะไม่ติดหวานไปด้วย ฝีมือแม่นั้นคุ้นเคยที่สุด
- มีอาการโรคความดันโลหิตสูง
- มีระดับไขมันในเลือดผิดปกติ
- มีประวัติเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือมีประวัติคลอดทารกน้ำหนักเกิน 4 กิโลกรัม
- มีโรคหัวใจและหลอดเลือด
- สตรีที่มีภาวะถุงน้ำรังไข่
โรคเบาหวาน ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคติดต่อ แต่เกิดจากพฤติกรรมการกินโดยแท้ หากรักสุขภาพดีเอง พยายามเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ใช่กินตามใจปาก เพราะไม่เช่นนั้น ต่อไปในอนาคตเราอาจต้องกินยาเป็นอาหารก็ได้
สำหรับผู้ที่กำลังเป็นเบาหวาน อย่าเพิ่งท้อใจ โรคนี้รักษาให้หายได้ หากเรารู้จักการรักษาที่ต้นเหตุ การเพิ่มอินซูลิน การกระตุ้นตับอ่อน นั่นก็ช่วยได้แต่ต้องยอมรับว่านั่นคือการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งส่วนมากผลลัพธ์ที่ได้จะทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะปัญหาต้นเหตุยังไม่ถูกแก้ไข เราต้องกระตุ้นตับอ่อนให้แข็งแรง นี่ต่างหากคือการสร้างระบบผลิตฮอร์โมนอินซูลินให้เป็นปกติ
โรคเบาหวาน โรคร้ายที่ไม่ไกลตัว
ผมบุรินทร์ จันวิไชย ยินดีเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพ
เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระอย่างธรรมชาติ ด้วยการแพทย์ทางเลือกควบคู่แผนปัจจุบันสมุนไพรจีนโหย่งเหิง คลิก: BurinOnline.com/Yong