ตลอดระยะเวลาที่ผมได้รู้จักกับผู้มีอาการปวดกระดูก มักจะพบวิธีการรักษา เช่น นวด จัดกระดูก หรือกินยาเคมี ฯลฯ
ซึ่งแต่ละวิธีก็ทำให้อาการดีขึ้น แต่ก็กลับมาปวดอีกในเวลาไม่นาน จนหลายคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับอาการปวดกระดูก ว่า มันรักษาไม่หาย ทำได้เพียงแต่ประคับประคองอาการ หรือเชื่อไปว่า มันคือโรคจากเวรกรรม
จนกระทั่ง 4 ปี ที่ผ่านมา
ผมได้มีโอกาสรู้จักความรู้เกี่ยวกับการดูแลตัวเองควบคู่กับการรักษาอาการปวดกระดูก
ด้วยการพิชิตโรคจากต้นทาง แก้ไขฟื้นฟูร่างกายในจุดที่เป็นต้นเหตุบ่อเกิดอาการปวดกระดูก
หรือที่เรียกว่า "ธรรมชาติบำบัด ควบคู่การแพทย์"
ผมได้มีโอกาสรู้จักความรู้เกี่ยวกับการดูแลตัวเองควบคู่กับการรักษาอาการปวดกระดูก
ด้วยการพิชิตโรคจากต้นทาง แก้ไขฟื้นฟูร่างกายในจุดที่เป็นต้นเหตุบ่อเกิดอาการปวดกระดูก
หรือที่เรียกว่า "ธรรมชาติบำบัด ควบคู่การแพทย์"
อาการปวดกระดูก
แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ ปวดที่กระดูกเลย กับปวดข้อกระดูก (หมอนรอง)
ทั้งสองอย่างนี้มีสาเหตุเกิดจากหลายสาเหตุมากๆ เช่น
- ได้รับการบาดเจ็บ กระดูกหัก กระดูกผิดรูป ใช้ร่างกายหนักเกิน ทำงานหนัก นักกีฬา หรืออยู่ในท่าเดิมๆ เรื้อรัง
- ขาดวิตามินหรือแร่ธาตุแคลเซียม และวิตามินดี ทำให้การฟื้นฟูกระดูกได้ไม่เต็มที่
- เกิดจากระบบฮอร์โมนผิดปกติ ทำให้การฟื้นฟูมวลกระดูก และข้อต่อกระดูกมีปัญหา ซึ่งมักเกิดกับคนตั้งครรภ์หรือวัยทอง หรือคนที่ปวดประจำเดือนเป็นประจำ
- กระดูกทับเส้น เส้นทับกระดูก กล้ามเนื้อมีการผิดปกติจนตึงรั้งกระดูกทำให้ปวด
- อาการขัดขวางไม่ให้เลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงกระดูก อาจทำให้ปวดข้อ หรือร่างกายอ่อนแอ
สำหรับอาการปวดกระดูกที่เกิดจาก หมอนรองกระดูกถูกทำลาย ทำให้ฐานกระดูกทรุด กระดูกผิดรูปหรือเอียงจนไปทับเส้น
ซึ่งอาการหมอนรองกระดูกถูกทำลายเกิดจาก ร่างกายผลิตคอลาเจนได้ไม่เพียงพอ
ซึ่งอาการหมอนรองกระดูกถูกทำลายเกิดจาก ร่างกายผลิตคอลาเจนได้ไม่เพียงพอ
โดยปกติร่างกายเราจะผลิตคอลาเจนได้เองและเพียงพอต่อความต้องการ ซึ่ง 80% จะอยู่ที่ผิวและหมอนรองกระดูก
แต่พอเราเริ่มอายุเพิ่มขึ้น เริ่มตั้งแต่ 25 ขึ้นไป ร่างกายจะมีประสิทธิภาพในการผลิตคอลาเจนได้น้อยลง ปีละ 1%
ทำให้เรามีปัญหาเรื่องผิวพรรณ และข้อต่อกระดูกเสื่อมไวกว่าตอนเด็กๆ ซึ่งการเพิ่มคอลาเจนที่ได้จากการทา ก็เพิ่มได้แค่ผิวชั้นนอก แต่ไม่สามารถลงลึกถึงระบบกระดูกได้
แต่พอเราเริ่มอายุเพิ่มขึ้น เริ่มตั้งแต่ 25 ขึ้นไป ร่างกายจะมีประสิทธิภาพในการผลิตคอลาเจนได้น้อยลง ปีละ 1%
ทำให้เรามีปัญหาเรื่องผิวพรรณ และข้อต่อกระดูกเสื่อมไวกว่าตอนเด็กๆ ซึ่งการเพิ่มคอลาเจนที่ได้จากการทา ก็เพิ่มได้แค่ผิวชั้นนอก แต่ไม่สามารถลงลึกถึงระบบกระดูกได้
ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่กระตุ้นให้ร่างกายสมดุลและควรทานคอลลาเจนเข้มข้น พร้อมโปรตีน วิตามิน C E A เพิ่มเติม เพื่อเสริมสร้างเติมเต็ม และสร้างประสิทธิภาพของคอลาเจนในร่างกายอีกด้วย