วันที่ 30 มกราคม 2564 – โหย่งเหิง 3 ขวด – 5100 pv
เป็นคะแนน 5100 คะแนน

รวม คะแนน 5100 คะแนน

ลงคะแนนแล้ว

สรุป

บุรินทร์ คงค้างลงรหัสสมาชิกนี้
5100 – 0 = 5100

คงเหลือคะแนนค้างลงรหัสของคุณ

= 5100 คะแนน

คะแนนที่คงเหลือค้างลงรหัสนี้
โปรดรอการลงคะแนนรหัส เพราะผมกำลังบริหารสิทธิโปรโมชันจากส่วนกลาง ซึ่งจะทำให้ผมมีโอกาสแจกโปรโมชันให้คุณอีกเรื่อยๆ

การดำเนินการของผม ผมรับรองว่า คุณจะไม่เสียสิทธิใดๆ ที่พึงได้ ในทางกลับกัน ผมได้ติดตามรหัสสมาชิกของคุณอย่างต่อเนื่องเพื่อบริหารให้ได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับคุณ

เป็นเรื่องทวิชมาที่น่าทึ่งมาก หากเป็นเรื่องจริง
เรื่องนี้ผมไม่ถึือว่าเป้นข่าวอ้างอิงได้นะ

แต่ผมเอาไปคิดต่อว่ามีความเป็นไปได้ไหม ที่ชาวอินเดีย ที่มีประชากรติด 1 ใน 2 ของโลก ไล่เลี่ยกับพี่จีนเลย แต่ยังไม่มีใครติดเชื้อไวรัสโคโลนา 2019 โควิด 19 แม้จะเดินทางไปทำงานที่เมืองอู่ฮั่น ต้นกำเนิดโรคก็ตาม

ก็จริงๆ แหละ ผมไม่ยักจะเห็นข่าวว่าคนอินเดียติดเชื้อ
มันอาจเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ผมเชื่อว่าเรื่องบังเอิญไม่มีจริง

แล้วเขาไปทำอะไรมาเขาถึงแข็งแรงไวรัสเจาะไม่เข้าขนาดนี้ การสาธารณสุขเขาเป็นเลิศ หรือ ก็เอิ่มมมมมมมมมมม!!

ผมว่าเขากินยาทุกวัน
เขากินยาจริงๆ โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่กินนั่นคือยา

นั่นก็คือยาสมุนไพรนั่นเอง
ประเทศอินเดียถือเป็นประเทศที่กินอาหารเป็นยาอีกประเทศหนึ่ง และเป็นยาสูตรเข้มข้นด้วย อาหารของพี่เขาอุดมไปด้วยเครื่องเทศมากที่สุดในบรรดาอาหารทั่วโลกเลย โดยสมุนไพรหลักๆ ของเขาคือ ขมิ้นชัน นั่นเอง

ผมเคยเห็นบทวิจัยหนึ่งสรุปความได้ว่า สารเคอคูมินในขมิ้นชัน มีสรรพคุณทางยาช่วยต้านไวรัส เป็นยาปฏิชีวะนะธรรมชาติ และช่วยบำรุงระบบเม็ดเลือดขาวได้เป็นอย่างดี
ขมิ้นชันจึงน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ชาวอินเดียที่กินอาหารเครื่องเทศเป้นประจำ สามารถพิชิตโรคไวรัสโควิด 19 ได้ ไวรัสเจาะไม่เข้าจริงๆ เพราะร่างกายมีภูมิต้านทานที่แข็งแรงสุดๆ

– สามารถนำพาวิตามิน แร่ธาตุและสารอาหารที่สำคัญอื่นๆไปยังเยื่อหุ้มเซลล์จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากน้ำไฮโดรเจน อุดมไปด้วยน้ำที่มีกลุ่มโมเลกุลขนาดเล็กกว่าน้ำดื่มทั่วไป

– ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดี

– ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด
– ลดไขมันและคอเลสเตอรอลในร่างกาย

– ช่วยต่อต้านริ้วร้อย

– ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้

– ล้างพิษเซลล์ร่างกายทั้งหมด

– ช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย

– เพิ่มสมรรถภาพความจำผู้สูงอายุ

อาหารประเภทแป้งและน้ำตาล (คาร์โบไฮเดรต)  นับเป็นอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก เพราะเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานของเซลล์ต่างๆ ทั้งร่างกาย จึงเป็นหนึ่งใน 5 หมู่ของอาหารที่เราจำเป็นต้องกินให้ครบ ซึ่งอาหารประเภทนี้แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว กับคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว พูดง่ายๆ เลยคือ น้ำตาล ซึ่งเวลากินแล้วปุ๊บหวานทันทีในปาก เข้าร่างกายปุ๊บดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้เลย

คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน คือ น้ำตาลเหมือนกัน แต่เป็นน้ำตาลที่หวานในลำไส้ มีด้วยหรือน้ำตาลหวานในลำไส้ นั่นก็คือ แป้ง ข้าว อะไรพวกนี้ ต้องผ่านการย่อยก่อน เมื่อแป้ง ข้าว ถูกย่อยมันก็จะกลายเป็นน้ำตาลแล้วดูดซึมเข้ากระแสเลือด

ไม่ว่าเราจะกินคาร์โบไฮเดรตประเภทไหนก็ตาม ขั้นสุดท้าย ก็จะถูกย่อยเป็นน้ำตาลและถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งอย่างที่เรารู้กันว่าความเสี่ยงที่จะทำให้เราเกิดเบาหวานได้นั่นคือ ในกระแสเลือดของเรามีปริมาณน้ำตาลสูงกว่า 120 มากๆ บ่อยๆ นานๆ ติดต่อกัน ยิ่งในเลือดมีน้ำตาลมากก็เหมือนกระแสเลือดของเรามีสารพิษมาก เมื่อมีสารพิษมาก ตับก็ทำงานหนัก ส่งผลให้การผลิตฮอร์โมนอินซูลินของเรามีปัญหา และยังทำให้ร่างกายเราดื้ออินซูลิน ไม่ยอมเอาน้ำตาลไปให้เซลล์ใช้จนเซลล์ในร่างกายมีความอยากน้ำตาลมากขึ้น รวมถึงทำให้ร่างกายสะสมน้ำตาลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นบ่อเกิดของโรคเบาหวานนั่นเอง

แล้วจะทำอย่างไรที่จะทำให้เรากินอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรตได้อย่างปลอดภัยห่างไกลโรคเบาหวาน ทำได้ไม่ยากเลยแค่เพียงเราต้องเข้าใจกราฟตารางการย่อยน้ำตาลนี้

กราฟนี้แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเวลาการย่อยคาร์โบไฮเดรต กับระดับที่ร่างกายจะดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด

1. การกินน้ำตาล น้ำตาล คือ คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว หวานในปากทันทีโดยไม่ต้องย่อยก็ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เลย ซึ่งเมื่อเรากินน้ำตาลปุ๊บ น้ำตาลถูกดูซึมเข้ากระแสเลือดในปริมาณที่สูงแตะ 400 ในเวลาที่รวดเร็ว แล้วตกลงมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน ดังนั้นเราจึงมากอร่อยมากเวลากิน แต่ไม่อยู่ท้อง ส่งผลให้เราหิวบ่อย เมื่อหิวบ่อยก็กินบ่อย อารมณ์ประมาณว่า กินชานมมาเมื่อเย็น ซึ่งมีปริมาณน้ำตาลพอๆ กับข้าว 2 ทัพพี แต่พอสักชั่วโมงเราก็หิวข้าวก็กินเข้าไปอีกที หิวบ่อยกินบ่อย น้ำตาลก็ขึ้นไปเกินค่าปกติบ่อย ตับก็ทำงานหนักขึ้น ใช้ไม่หมดก็เก็บสะสม จริงๆ แล้วเชื่อไหมครับว่าน้ำตาลนับเป็นอาหารเกินความจำเป็น เราไม่กินน้ำตาลก็ไม่ตายนะ แต่มนุษย์สร้างน้ำตาลขึ้นมาเพื่อตอบสนองความอร่อยของอาหารเท่านั้นเอง
2. การกินแป้ง แป้งก็เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ต้องมีการย่อยก่อนถึงจะเป็นน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้ ฉะนั้นจึงใช้เวลาดูดซึมนานกว่าน้ำตาล แต่แป้งก็ผ่านการบดจนละเอียดมาก แม้จะต้องผ่านการย่อยแต่ย่อยนิดเดียวก็เป็นน้ำตาลแล้ว นอกจากนี้ การกินแป้งยังทำให้เราอิ่มช้าด้วย เราจึงกินได้มาก เมื่อมีการย่อยที่รวดเร็วก็ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับที่สูง โดยใช้เวลาย่อย สามารถให้น้ำตาลเราได้ประมาณ 300 ในเวลา 4 ชั่วโมง
3. ข้าว ก็เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ยังไม่ผ่านการบดย่อย จึงเป็นธรรมดาที่ร่างกายต้องย่อยจากข้าวเป็นแป้ง จากแป้งเป็นน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย แต่การกินข้าวขาวผ่านการขัดสีก็นับว่าสามารถผลิตน้ำตาลได้สูงในเวลาไม่เร็วและไม่ช้า สามารถให้น้ำตาลเราได้ประมาณ 250 ในเวลา 5 ชั่วโมง
4. ข้าวไม่ขัดสี ข้าวเหมือนกัน ความแตกต่างคือไม่ได้ผ่านการขัดสี เชื่อไหมครับว่า สีมอๆ ที่อยู่บนข้าวมันคือสารอาหารชั้นยอดที่ธรรมชาติสร้างมาให้คู่กับข้าว ธรรมชาติรู้ดีถึงอันตรายของการกินข้าว ธรรมชาติจึงสร้างกากใยธรรมชาติเคลือบข้าวไว้ ซึ่งกากใยนี้มีคุณสมบัติบล็อกการดูดซึมน้ำตาลเข้ากระแสเลือดได้ และยังทำให้ร่างกายเราใช้เวลาย่อยข้าวประเภทนี้นาน เพราะมันต้องย่อยกากใยก่อนแล้วค่อยๆ ย่อยข้าวให้เป็นแป้ง และเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล กากใยพวกนี้ก็บล็อกน้ำตาลให้ร่างกายค่อยๆ ดูดซึม เมื่อน้ำตาลค่อยๆ ถูกดูซึม ทำให้ในกระแสเลือดมีระดับน้ำตาลที่ไม่สูงมาก และค่อยๆ ปล่อย เราก็ไม่รู้สึกหิวบ่อยๆ แม้ในกราฟเราอาจจะเห็นว่า ระดับน้ำตาลในเลือดก็เกินอยู่ดี แต่ก็นับเป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตที่ปลดปล่อยน้ำตาลได้ดีที่สุดในปัจจุบันแล้ว เราสามารถบล็อกการดูดซึมน้ำตาลได้อีกนะหากเรากินผักเป็นกับข้าวเยอะๆ กากใยในพืชก็จะช่วยบล็อกการดูดซึมน้ำตาลให้เข้าสู่กระแสเลือดช้าลงได้อีก

การดูแลสุขภาพนั้นก็เป็นเรื่องดี แต่ความสุขของการกินอาหารก็สำคัญเหมือนกัน ฉะนั้นผมไม่ได้ห้ามไม่ให้เรากินอาหารอร่อย ผมเพียงอยากจะบอกเราว่า หากจะกินต้องกินอย่างมีสติ กินเท่าที่จำเป็น ไม่มีอาหารไหนทำร้ายเราหรอก แต่การกินอาหารมากเกินไปต่างหากที่ทำลายเรา กินให้พอดี จะได้มีโอกาสกินของอร่อยๆ ได้นานๆ

กินน้อยๆ จะได้กินนานๆ

กัญชาแมว หรือตำแยแมว หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่ามันคือสมุนไพรสำหรับแมวหรือสัตว์เลี้ยง เอาไว้ให้สัตว์เลี้ยงกิน หรือบางคนมองว่ามันคือวัชพืชน่ารำคาญเสียด้วยซ้ำ

แต่เชื่อไหมครับ กัญชาแมว เป็นสมุนไพรไทยที่ดีมากอีกชนิดหนึ่ง เกิดมาเพื่อคนไทยโดยแท้เลย มันคือพืชที่เป็นได้มากกว่าวัชพืชรกหลังบ้านเลยซะอีก

กัญชาแมวมีสรรพคุณมากมายที่เราอาจจะคาดไม่ถึง

1. ต้นกัญชาแมว มีสรรพคุณกินแล้วจะอาเจียน เผื่อเรามีความจำเป็นต้องอาเจียนเอาอะไรในท้องออกมา
2. ถ้าเราเอาทั้งต้นและรากสับเป็นชิ้นๆ แล้วต้ม จนน้ำลดลงครึ่งหนึ่ง นำไปดื่มเช้า – เย็น ครั้งละแก้ว จะช่วยขับเสมหะในหลอดลม และปอด บรรเทาอาการไอ
3. นำทั้งต้นมาต้ม หรือผสมกับน้ำซาวข้าว ใช้เป็นยาดูแลอาการหอบหืด ภูมิแพ้
4. ลำต้นอ่อนๆ คั้นเอาแต่น้ำ ใช้เป็นยาล้างเมือกในท้อง ทำความสะอาดทางเดินอาหาร 
5. ต้น ราก ใบมีสรรพคุณเป็นยาระบาย
6. ใบสดเอามาทำอาหาร หรือต้มกิน หรือคั้นผสมกระเทียม เป็นยาขับพยาธิเส้นด้ายโดยเฉพาะสำหรับเด็ก 
7. ต้น ใบนำมาต้ม บำรุงทางเดินอาหาร
8. ใบสดผสมเกลือ ใช้ทาเป็นยารักษาโรคผิวหนัง
9. ใบแห้งนำมาป่นให้ละเอียดใช้โรยรักษาแผลกดทับ
10. การแพทย์แผนไทย ใช้รากเพียงเล็กน้อยนำมาต้มดื่มก่อนอาหารวันละ 1 แก้ว เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงร่างกายให้แข็งแรง ช่วยกระจายเลือดลม แก้อาการปวดเมื่อย และช่วยทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น

ข้อควรระวัง ต้น ราก ใบ ถ้านำมารับประทานในปริมาณมากจะทำให้คลื่นไส้อาเจียน และทำให้ระคายเคืองทางเดินอาหารได้

เห็นไหมครับ บางครั้งเราอาจกัญชาแมวเป็นวัชพืชหรือของกินเล่นของสัตว์เลี้ยง แต่จริงๆแล้วมันก็คือสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่ดีเลยทีเดียว และพืชเหล่านี้เกิดมาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะเลย ลองใช้กัญชาแมวเพื่อดูแลตัวเองดู บางทียาเคมีอาจจะไม่จำเป็นต่อเราเลยก็ได้นะครับ

เมื่อพูดถึงอวัยวะที่ชื่อว่า “ไต” ก็นับเป็นอวัยวะที่สำคัญชนิดที่ร่างกายขาดไม่ได้อีกชนิดหนึ่ง หากเราไม่มีไต หรือมีแต่ทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือขาดไปข้างหนึ่ง มักจะส่งผลต่อร่างกายอย่างมาก ชนิดที่ทรมานกายและอย่างยิ่ง

“ไต” มีหน้าที่กำจัดของเสียและสารพิษในกระแสเลือด เป็นตัวกรองระบบเลือดให้สมดุล ทั้งความเป็นกรด เป็นด่าง ความสมดุลของน้ำและเกลือแร่

คำว่า “สารพิษ” ก็คือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายของเรา ซึ่งร่างกายจำเป็นต้องขับออก การขับออกที่ง่ายที่สุดคือ ทางปัสสาวะ

ส่วนคำว่า “ของเสีย” นี้รวมไปถึงสารที่มีประโยชน์ด้วยแต่อาจจะมีมากเกินไป บางครั้งสิ่งที่มีประโยชน์ ธรรมชาติสร้างมา หรือร่างกายสร้างมาเองไม่เป็นอันตราย แต่หากมีมากเกินไปสิ่งนั้นก็เป็นของเสียที่เป็นหน้าที่ให้ไตขับออกเช่นกัน

ไต จึงเป็นอวัยวะที่ทำให้ร่างกายของเราสะอาดและรักษาสมดุลได้ทั้งระบบ แต่หากเราเริ่มมีปัญหาเรื่องการกรองของไต ร่างกายเราจะเสียสมดุลและเกิดภาวะมีของเสียคั่งค้างในร่างกายมากกว่าปกติ ถ้าวันไหนเซลล์ร่างกายรับไม่ไหวก็จะบังเกิดโรคร้ายตามมา

การที่ไตมีปัญหา มักพบอยู่ 2 ประเภท โรคไต และไตวาย

โรคไต หรือไตเรื้อรัง เกิดจากเซลล์ของไตค่อยๆ ถูกทำลายทำให้ระบบการทำงานของไตมีประสิทธิภาพลดลงและค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ ทำให้การขับของเสียในร่างกายของเราไม่ดี จึงเกิดผื่นคัน ท้องเสียบ่อย เพราะร่างกายต้องดันของเสียออกจากทางอื่น การควบคุมน้ำและเกลือแร่ก็เริ่มมีปัญหา ร่างกายเราจึงเกิดภาวะบวมน้ำ โดยเฉพาะบริเวณขากดแล้วบุ๋ม ซึ่งเป็นระยะเริ่มแรกของภาวะไตที่มีปัญหา หากปล่อยไว้เซลล์จะค่อยๆ เสื่อมไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเข้าสู่ภาวะไตวายไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป

โรคไตเกิดได้หลายสาเหตุ ที่เราคุ้นเคยกันมาก ก็คือ การกินเค็มมากไป นี่ก็มีส่วน การกินเค็มทำให้ไตทำงานหนักในการรักษาสมดุลระหว่าเกลือแร่กับน้ำ แต่อันที่จริงแล้วโรคไตเกิดได้จากทุกอย่าง สิ่งใดมากไปก็ไม่ดี และไม่ได้บอกว่าการกินครั้งเดียวแล้วจะเป็น เซลล์ไตจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา และหากมีการทำงานที่มากเกินไป เซลล์ก็ยิ่งเสื่อมไวแบบเท่าทวี เช่น เป็นโรคเบาหวาน กินน้ำตาลมาก โรคอ้วนมีไขมันเกิน ความดันสูง ดื่มสุรามากเกิน สูบบุหรี่ ใกล้ชิดสารพิษ อายุที่มากขึ้น มีสารอนุมูลอิสระมาก เป็นต้น ส่วนเหล่านี้ก็มีผลทำให้เซลล์ไตเสื่อมได้เช่นกัน มันจะส่งผลไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่แน่ครับ ตอนนี้เซลล์ไตของเราก็กำลังเสื่อมลงไปโดยที่เราไม่รู้ตัว นี่คือสาเหตุที่หลายคนไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่ากำลังเป็นโรคไต รู้ตัวอีกทีก็เจ็บหนักไปซะแล้ว

ส่วนอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ไตวาย คือภาวะที่เซลล์ไตเสื่อมจนไม่อาจทำงานได้อีกแล้ว นับว่าเป็นภาวะที่รุนแรงที่สุด แต่ก็มีบางกรณีที่เรียกว่าไตวายเฉียบพลัน เกิดจากอาการช็อคของเซลล์ ทำให้เซลล์หยุกการทำงาน

สำหรับโรคไต จะมีอยู่ 5 ระยะ

1. ระยะไตเริ่มเสื่อม ค่าไต อยู่ที่ 90 ขึ้นไป
2. ระยะไตเสื่อม ค่าไต อยู่ที่ 60-89
3. ระยะที่ 3 ค่าไต อยู่ที่ 30- 59
4. ระยะที่ 4 ไตใกล้เสื่อม ค่าไต อยู่ที่ 15-29
5. ระยะไตวาย ค่าไต อยู่น้อยกว่า 15

ยิ่งไตเสื่อมมากขึ้น ค่าการทำงานของไต (GFR) จะน้อยลงเรื่อยๆ

สำหรับใครที่ไม่อยากให้พัฒนาการของความเสื่อมของเซลล์ไตมีมากขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้อง ลด ละ เลิกสร้างของเสียในร่างกาย กินอาหารให้สมดุล และพยายามกู้เซลล์ไต กระตุ้นให้ผลิตเซลล์ใหม่มาทดแทนเซลล์ที่เสื่อมไป อาการโรคไตก็จะบรรเทาลง แต่ก็ต้องยุติธรรมหน่อยนะครับ กว่าเราจะเป็นโรคไตได้มันก็ต้องใช้เวลา การรักษาก็ย่อมต้องใช้เวลาเช่นกัน จะนานแค่ไหนก็ตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่า เราลดภาวะเซลล์ไตทำงานหนักขนาดไหน ดูแลร่างกายตัวเองให้สมดุลไหม และการสร้างเซลล์ฟื้นฟูของร่างกายเราช้าไวอย่างไร ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

กาแฟพริก กาแฟพันธุ์ใหม่ ช่วยเสริมสร้างระบบเผาผลาญ 

ไม่ใช่ยาลดความอ้วน แต่ช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญให้ดีกว่าเดิม

กาแฟพริก ได้รับการรับรองจากหลายหน่วยงาน นี่คือผลลัพธ์จากผู้ใช้จริง

ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ BurinOnline.com/burn

ผมบุรินทร์ จันวิไชย ยินดีเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพ

เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระอย่างธรรมชาติ ด้วยการแพทย์ทางเลือกควบคู่แผนปัจจุบันสมุนไพรจีนโหย่งเหิง และอื่นๆ

ดีท็อกแบบธรรมชาติ กระตุ้นและเพิ่มกากใย ไม่รบกวนบังคับระบบขับถ่าย อุดมไปด้วยธรรมชาติมากมายที่มีประโยชน์ ดีท็อกแล้วยังมีสุขภาพดี ผิวพรรณสดใส

อาการเกล็ดเลือดต่ำ เป็นอาการที่ร่างกายมีภาวะเกล็ดเลือดน้องกว่า 150,000 เกล็ด/ไมโครลิตร ซึ่งเกิดไขกระดูกผลิตเกล็ดเลือดออกมาน้อยเกินไป หรืออาจเกิดจากกรณีภูมิคุ้มกันร่างกายกลับไปทำลายเกล็ดเลือด หรืออาจเกิดจากม้ามมีการกักเกล็ดเลือดมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นผลมาจากโรงมะเร็ง ตับแข็ง ซึ่งตามปกติคนเราจะมีเกล็ดเลือดอยู่ประมาณ 150,000 – 400,000 เกล็ด/ไมโครลิตร มีหน้าที่ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาการแข็งตัวของเลือดห้ามเลือดขณะเรามีเลือดออก ฉะนั้นหากเรามีเกล็ดเลือดน้อย จะทำให้เรามีอาการเลือดออกแล้วหยุดยาก หรือไม่หยุด หรืออาจทำให้เกิดปวดหัว หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท จนถึงขั้นเลือดออกแล้วไม่หยุดจนตกใน หรืออันตรายถึงแก่ชีวิตได้

อาการที่อาจพบได้เมื่อเป็นเกิดอาการเกล็ดเลือดต่ำ เช่น

• รอยช้ำแดง/ม่วง/น้ำตาล บริเวณใต้ผิวหนัง
• ผื่นแดง/ม่วง เป็นจุดเล็กกระจายใต้ผิวหนัง
• ชอบมีเลือกออกที่จมูก กำเดาไหล หรือเลือดออกบริเวณเหงือก
• ประจำเดือนมามากจนผิดปกติ
• อาจพบอาการเลือดตกใน
• ปัสสาวะ อุจจาระเป็นเลือด/เป็นสีเข้มมาก
• เลือดไหลไม่หยุด

สาเหตุที่ทำให้ไขกระดูกสร้างเกล็ดเลือดน้อย เนื่องจากโรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ / เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลืองไปทำลายไขกระดูก / การฉายแสง เคมีบำบัด / การสัมผัสสารเคมีอย่างต่อเนื่อง / การใช้ยาขับปัสสาวะ ยาบางชนิด / การดื่มสุรามากเกินไปบ่อยๆ / การขาดแร่ธาตุ วิตามิน / การติดเชื้อไวรัสบางชนิด / ภาวะภูมิต้านทานบกพร่อง

เคสนี้เป็นเคสการสร้างเกล็ดเลือดน้อย ดูแลด้วยสมุนไพรจีนจีนโหย่งเหิง

พี่เป้ป่วยเป็นเกร็ดเลือดต่ำ รักษาตัวด้วยการกินยาเคมีมานานเป็นปี แต่กลับไม่ดีขึ้นเลย และจำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากทำงานหนักติดต่อกันหลายวันร่างกายทรุดโทรมไว เหนื่อยง่าย โทรม หมอสั่งให้นอนพัก พักจนไม่มีเวลาหาเงิน
มาเยียวยาตัวเอง เวลาอาการกำเริบก็มีอาการทรมานมาก

วันหนึ่งเมื่อ ปี 2556 พี่เป้ได้มีโอกาสดื่มสมุนไพรจีนโหย่งเหิง อย่างจริงจังและต่อเนื่อง