หน่อไม้ นับเป็นอาหารที่มีกากใยสูง มีสารอาหารมากมีประโยชน์ แต่หน่อไม้ก็มีสารไซยาไนด์สูงมาก กินสดไม่ได้ โทษถึงตาย หากจะกินต้องทำให้สุกดีๆ ก่อน นอกจากนี้คนเป็นเกาท์ก็อย่ากินมาก เพราะหน่อไม้มีสารพิวรีนสูง กินมากๆ จะทำให้ร่างกายมีกรดยูริกมากจนเกิดโรคเกาท์ขึ้นได้

กินเหล้าวันปีใหม่ ระวังตายไว
สุขสันต์วันปีใหม่
เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะฉลองด้วยการกินเหล้า สุรา
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไปตามมารยาท
ไม่ว่าจะด้วยความจำเป็นอะไรก็ตาม แต่การกินเหล้ามากเกินกว่า 100 cc ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี
แม้คุณจะเมาไม่ขับแต่ก็มีความเสี่ยงที่คุณจะมีไขมันส่วนเกินในร่างกาย จนไปอุดตันหลอดเลือดและอาจทำให้อันตรายต่อชีวิตได้

ผักไชยา มะละกอกินใบ หรือคะน้าแม็กซิโก
เป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารประมาณ 2 เท่าเลยทีเดียว
โดยมี แคลเซียม เหล็ก โปรตีน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามิน A และ C

– ช่วยดูแลระบบเลือด โลหิตจาง
– ลดน้ำตาลในเลือด ขับล้างสารพิษ ลดความเสี่ยงเป็นโรคไต และมะเร็ง
– บำรุงสายตา
– กระตุ้นการผลิตน้ำนมของแม่ลูกอ่อน

คำเตือน
ผักไชยา กินสดไม่ได้นะครับ เพราะมันมีสารที่เป็นพิษ
ต้องทำให้สุกก่อนสารนี้จะหายไปเมื่อถูกความร้อน

กินอาหารให้เป็นยา
ดีกว่ากินยาเป็นอาหาร

เมื่อเราพูดถึงขมิ้น ใครๆ ก็รู้จัก มันคือผักที่หลายบ้านนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของการทำอาหาร ทั้งต้ม ผัด แกง ทอด โดยเฉพาะบ้านคนใต้ อาหารทุกประเภทมักมีขมิ้นเป็นส่วนประกอบ
แม้คนใต้จะกินเผ็ดมาก แต่ก็ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคทางเดินอาหาร โรคกระเพาะมากมาย
เป็นเพราะอะไรกัน

ก็เพราะขมิ้นมีคุณสมบัติหลัก นั่นคือ รักษาและป้องกันโรคกระเพาะ
และช่วยสมานแผลลดการอักเสบ ขมิ้นจึงเป็นส่วนประกอบของยาแต้มสิว ยาทาแผล และอื่นๆ อีกมากมาย

อย่างไรก็ตาม ขมิ้นนั้นแบบเป็น 2 อย่าง คือ ขมิ้นเหลือง ขมิ้นขาว
ขมิ้นเหลือง หรือเรียกว่า ขมิ้นชัน มีเหลืองๆ มีคุณสมบัติเอาไว้ทำยาสมุนไพร
ขมิ้นขาว หรือเรียกว่า ว่านม่วง มีสีขาวนวล คุณสมบัติจะคล้ายกับขมิ้นชันแต่อ่อนกว่า เอาไว้กินเป็นผักเครื่องเคียง

ขมิ้นนับว่าเป็นสมุนไพรครอบจักรวาลและให้ทำยาได้หลายขนาน
ซึ่งเราใช้ขมิ้นเป็นยามามากกว่า 5,000 ปี แล้ว ทั้งทำอาหาร ยารักษาโรค เครื่องสำอาง เป็นต้น สำหรับวันนี้ผมจะขอเล่าเฉพาะประโยชน์การใช้ขมิ้นกินเป็นอาหาร
ขมิ้นมีสรรพคุณเป็นยาร้อน มีสารเคอมินอยู่มาก มีคุณสมบัติทางยาคือ
– สมานแผลอักเสบทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะกระเพาะอาหาร ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะ ขับลมและรักษาสมดุล
– เพิ่มประสิทธิภาพการย่อย เพิ่มน้ำย่อย เพิ่มน้ำดี ทำให้อาหารค้างกระเพาะน้อยลง ลดอาการเป็นโรคกระเพาะ ลดการหมักหมมจนเกิดเป็นกรดแก๊ส
– มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอแก่ ลดริ้วรอย ปรับเซลล์ให้อ่อนกว่าวัย
– มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
– แก้หวัด
– ป้องกันการอักเสบในระดับเซลล์
– ลดการอักเสบ ด้วยโพลีแซกคาไรด์ ต่อต้านเชื้อโรค เป็นนาปฏิชีวนะธรรมชาติ
– ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล และคลอเลสเตอรอล
– ช่วยเพิ่มน้ำดี ย่อยไขมันส่วนเกิน
– บำรุงสมอง กำจัดคราบพลัส ทำให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น
– ช่วยปรับน้ำย่อยและช่วยย่อย ลดอาการกรดย่อยผนังกระเพาะ
– บำรุงตับ ล้างสารพิษ บำรุงลำไส้
– ช่วยขับปัสสาวะ ดูแลไต

และยังมี วิตามิน A B1 B2 B3 C E แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เกลือแร่
– ช่วยแก้เรื่องภูมิแพ้ ท้องเสีย
– จุกเสียด
– รักษาแผลในปาก
– เพิ่มภูมิต้าทานโรค
-ขับน้ำนมของแม่หลังคลอดบุตร
– ยับยั้งมะเร็ง ด้วยสารต้นอนุมูลอิสระ

ข้อควรระวัง
– ขมิ้นเป็นผักที่มีฤทธิ์ร้อน หากกินมากอาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดหัว นอนไม่หลับ
ถ้าเกิดอาการนี้ให้กินฟ้าทะลายโจรปรับสมดุล

ใบย่านาง ผักเพื่อทำครัวทำอาหารของคนไทยมานานช้านานมาก
ด้วยความชาญฉลาดของภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่รู้สุดยอดสรรพคุณของใบย่านาง

จึงไม่แปลกใจเลยที่ทำให้อาหารบางอย่างจะมีสูตรว่าต้องใส่ใบย่านางด้วยถึงจะอร่อย
โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนผสมของหน่อไม้
จริงๆ แล้วการใส่ใบย่านางไม่ใช่เพียงเพิ่มความอร่อย แต่คนโบราณรู้ว่าในหน่อไม้มีสารพิวรีนมาก กินเยอะๆ จะทำให้ปวดกระดูกเพราะร่างกายจะเกิดกรดยูกริคมาก
แม่บ้านจึงใส่ใบย่านางเข้าไปเพื่อดับสารส่วนเกินนี้ยังไงหละครับ ทั้งแกงเลียง แกงเปอะ ซุปหน่อไม้

ใบย่านาง เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น รูปร่างจะคล้ายๆ กับใบรางจืด มีสรรพคุณ ดังนี้
– ลดความร้อนในร่างกาย
– ใช้ดับร้อน ผ่อนไข้ ปรับสมดุล และช่วยให้หลับสบาย
– มีสารต้านอนุมูลอิสระมาก ลดความเสื่อม ชะลอวัย และยับยั้งมะเร็ง
– ช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่สึกหรอ
– ช่วยฟื้นฟูเซลล์ ตับ ไต หัวใจ
– เพิ่มภูมิต้านทาน
– รักษาระดับน้ำตาล และสารต่างๆ ในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้เป็นเบาหวาน เก๊าท์
– ต่อต้านกรดยูริค
– เป็นยาต้านพิษ แก้แพ้แบบธรรมชาติ
– รักษาสมุลการหลั่งอินซูลิน เพราะทำให้ร่างกายเย็นลง จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตอินซูลินเพื่อเผาผลาญน้ำตาลได้
– ผสมรักษาโรคผิวหนัง ลดอักเสบ ดูดขับสารพิษ

ข้อควรระวัง
– อย่ากินมากเกินไปติดต่อกันนานๆ เพราะจะทำให้ร่างกายเย็นเกินไป ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่ดี จึงทำให้เกิดอาการชามือ เท้า ปวดหัว ท้องอืด นอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ ขับถ่ายผิดปกติ เบื่ออาหาร หน้ามืด ได้
– ผู้ป่วยโรคไตอย่ากินมาก เพราะมันทำให้ไตทำงานหนักขึ้น เพราะมีสารแม็กนีเซียมมาก ส่วนคนที่ไม่เป็นโรคไต ทานได้เพื่อบำรุงไต
– อย่าเชื่อว่าใบย่านางขับสารพิษแล้วกินจะต้องทุกวัน
– หากรู้สึกเย็นเกินไป ให้ทานกระชายเพื่อรักษาสมดุล

ใบย่านางนั้นมีประโยชน์ แต่หากทานมากเกินไปก็ไม่ดี
ทางที่ดีที่สุดคือกินให้เป็นอาหาร
และให้อาหารนั้นเป็นยาสำหรับเรา

ต้นขลู่ สมุนไพรที่หลายคนไม่รู้จัก แต่อาจจะเคยเห็น แบบไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไรสักอย่าง เป็นวัชพืชที่ขึ้นตามแถบชายทะเล
เชื่อหรือไม่ว่า ต้นขลู่ นี้ นับเป็นสมุนไพรที่เกิดมาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ มีความปลอดภัยสูง

ต้นขลู่ เป็นพืชชนิดที่กินเป็นผักเครื่องเคียงได้ จิ้มน้ำพริกก็อร่อย รสชาติฝาดๆ เค็มๆ
เป็นพืชที่ขึ้นบนที่ดินที่มีลักษณะเป็นดินเค็ม ถ้าที่ดินใครมีค้นขลู่ขึ้น บอกได้เลยว่า ดินตรงนั้นมีลักษณะค่อนข้างเค็ม เหมาะสำหรับปลูกมะพร้าวน้ำหอมมากๆ

ต้นขลู่ มีสรรพคุณทางยาสามารถใช้เป็นยา
– ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด รักษานิ่วในไต ดูแลไต
– ขับเหงื่อ ขับสารพิษ
– รักษาระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
– ลดความดันโลหิต
– ลดร้อน ผ่อนไข้
– ฤทธิ์เค็ม ฝาด ช่วยลดการอักเสบเปื่อยพุพองทั้งภายนอกและภายใน
– มีสารต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีการวิจัยน้ำสกัดจากขลู่
-เปลือก – ต้น ดูแลไซนัส และโพรงจมูก

สำหรับวิธีการกิน เราสามารถทำกินได้ไม่มีข้อจำกัด ดังนี้
1. กินสดเป็นผักเครื่องเคียงกับน้ำพริก สรรพคุณครบที่สุด
2. ผัดผัก ทำแกงก็อร่อย
3. ทำเป็นชาแห้ง หรือชาสดแล้วต้ม 3 ยอดกับน้ำร้อน 30 นาที ดื่มตอนเช้าๆ ช่วยดูแลไต ขับปัสสาวะ ลดความดัน ลดไขมัน แก้ปวดเมื่อย และอาการตกขาว

ลองนำมากินดู สมุนไพรใกล้ตัว
กินให้เป็นอาหาร
และให้อาหารนั้นกลายเป็นยาดูแลตัวเรา

เมื่อพูดถึงอวัยวะที่ชื่อว่า “ไต” ก็นับเป็นอวัยวะที่สำคัญชนิดที่ร่างกายขาดไม่ได้อีกชนิดหนึ่ง หากเราไม่มีไต หรือมีแต่ทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือขาดไปข้างหนึ่ง มักจะส่งผลต่อร่างกายอย่างมาก ชนิดที่ทรมานกายและอย่างยิ่ง

“ไต” มีหน้าที่กำจัดของเสียและสารพิษในกระแสเลือด เป็นตัวกรองระบบเลือดให้สมดุล ทั้งความเป็นกรด เป็นด่าง ความสมดุลของน้ำและเกลือแร่

คำว่า “สารพิษ” ก็คือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายของเรา ซึ่งร่างกายจำเป็นต้องขับออก การขับออกที่ง่ายที่สุดคือ ทางปัสสาวะ

ส่วนคำว่า “ของเสีย” นี้รวมไปถึงสารที่มีประโยชน์ด้วยแต่อาจจะมีมากเกินไป บางครั้งสิ่งที่มีประโยชน์ ธรรมชาติสร้างมา หรือร่างกายสร้างมาเองไม่เป็นอันตราย แต่หากมีมากเกินไปสิ่งนั้นก็เป็นของเสียที่เป็นหน้าที่ให้ไตขับออกเช่นกัน

ไต จึงเป็นอวัยวะที่ทำให้ร่างกายของเราสะอาดและรักษาสมดุลได้ทั้งระบบ แต่หากเราเริ่มมีปัญหาเรื่องการกรองของไต ร่างกายเราจะเสียสมดุลและเกิดภาวะมีของเสียคั่งค้างในร่างกายมากกว่าปกติ ถ้าวันไหนเซลล์ร่างกายรับไม่ไหวก็จะบังเกิดโรคร้ายตามมา

การที่ไตมีปัญหา มักพบอยู่ 2 ประเภท โรคไต และไตวาย

โรคไต หรือไตเรื้อรัง เกิดจากเซลล์ของไตค่อยๆ ถูกทำลายทำให้ระบบการทำงานของไตมีประสิทธิภาพลดลงและค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ ทำให้การขับของเสียในร่างกายของเราไม่ดี จึงเกิดผื่นคัน ท้องเสียบ่อย เพราะร่างกายต้องดันของเสียออกจากทางอื่น การควบคุมน้ำและเกลือแร่ก็เริ่มมีปัญหา ร่างกายเราจึงเกิดภาวะบวมน้ำ โดยเฉพาะบริเวณขากดแล้วบุ๋ม ซึ่งเป็นระยะเริ่มแรกของภาวะไตที่มีปัญหา หากปล่อยไว้เซลล์จะค่อยๆ เสื่อมไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเข้าสู่ภาวะไตวายไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป

โรคไตเกิดได้หลายสาเหตุ ที่เราคุ้นเคยกันมาก ก็คือ การกินเค็มมากไป นี่ก็มีส่วน การกินเค็มทำให้ไตทำงานหนักในการรักษาสมดุลระหว่าเกลือแร่กับน้ำ แต่อันที่จริงแล้วโรคไตเกิดได้จากทุกอย่าง สิ่งใดมากไปก็ไม่ดี และไม่ได้บอกว่าการกินครั้งเดียวแล้วจะเป็น เซลล์ไตจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา และหากมีการทำงานที่มากเกินไป เซลล์ก็ยิ่งเสื่อมไวแบบเท่าทวี เช่น เป็นโรคเบาหวาน กินน้ำตาลมาก โรคอ้วนมีไขมันเกิน ความดันสูง ดื่มสุรามากเกิน สูบบุหรี่ ใกล้ชิดสารพิษ อายุที่มากขึ้น มีสารอนุมูลอิสระมาก เป็นต้น ส่วนเหล่านี้ก็มีผลทำให้เซลล์ไตเสื่อมได้เช่นกัน มันจะส่งผลไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่แน่ครับ ตอนนี้เซลล์ไตของเราก็กำลังเสื่อมลงไปโดยที่เราไม่รู้ตัว นี่คือสาเหตุที่หลายคนไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่ากำลังเป็นโรคไต รู้ตัวอีกทีก็เจ็บหนักไปซะแล้ว

ส่วนอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ไตวาย คือภาวะที่เซลล์ไตเสื่อมจนไม่อาจทำงานได้อีกแล้ว นับว่าเป็นภาวะที่รุนแรงที่สุด แต่ก็มีบางกรณีที่เรียกว่าไตวายเฉียบพลัน เกิดจากอาการช็อคของเซลล์ ทำให้เซลล์หยุกการทำงาน

สำหรับโรคไต จะมีอยู่ 5 ระยะ

1. ระยะไตเริ่มเสื่อม ค่าไต อยู่ที่ 90 ขึ้นไป
2. ระยะไตเสื่อม ค่าไต อยู่ที่ 60-89
3. ระยะที่ 3 ค่าไต อยู่ที่ 30- 59
4. ระยะที่ 4 ไตใกล้เสื่อม ค่าไต อยู่ที่ 15-29
5. ระยะไตวาย ค่าไต อยู่น้อยกว่า 15

ยิ่งไตเสื่อมมากขึ้น ค่าการทำงานของไต (GFR) จะน้อยลงเรื่อยๆ

สำหรับใครที่ไม่อยากให้พัฒนาการของความเสื่อมของเซลล์ไตมีมากขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้อง ลด ละ เลิกสร้างของเสียในร่างกาย กินอาหารให้สมดุล และพยายามกู้เซลล์ไต กระตุ้นให้ผลิตเซลล์ใหม่มาทดแทนเซลล์ที่เสื่อมไป อาการโรคไตก็จะบรรเทาลง แต่ก็ต้องยุติธรรมหน่อยนะครับ กว่าเราจะเป็นโรคไตได้มันก็ต้องใช้เวลา การรักษาก็ย่อมต้องใช้เวลาเช่นกัน จะนานแค่ไหนก็ตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่า เราลดภาวะเซลล์ไตทำงานหนักขนาดไหน ดูแลร่างกายตัวเองให้สมดุลไหม และการสร้างเซลล์ฟื้นฟูของร่างกายเราช้าไวอย่างไร ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค ไวรัส หรือแบคทีเรีย

95% โรคพวกนี้เกิดจากพฤติกรรมของเราในอดีต เราทำร้ายตัวเองใช้ร่างกายเปลืองเกินกว่าที่ธรรมชาติให้มา ทำให้อวัยวะส่วนนั้น เสื่อมเร็วกว่าที่ควรจะเป็น หรือบางครั้งก็เกิดจากวัยที่ชราภาพลง ร่างกายจึงเกิดสึกหรอ เสื่อมเป็นธรรมดา บางคนจึงเรียกว่า โรคเสื่อมของร่างกาย (NCDs)

โรคไม่ติดต่อเรื้อรังเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น มะเร็ง โรคไต โรคตับแข็ง ตับเสื่อม ไขมันพอกตับ ไตวาย ภูมิแพ้ แพ้ภูมิตัวเอง หอบหืด เลือดจาง ปวดข้อ เก๊าต์ โรคกระเพาะ หลอดเลือดแตก หลอดเลือดตีบ ไขมันอุดตัน คอเลสเตอรอล เนื้องอก ปวดเมื่อย อัลไซเมอร์ ความจำเสื่อม เบาหวาน แผลกดทับ ปวดมดลูก ปวดประจำเดือน มดลูกต่ำ ซีส ความดัน ฮอร์โมนไม่คงที่ โรคหัวใจ ไทรอยด์ ระบบประสาท เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และโรคเรื้อรังต่างๆ 

ส่วนเรื่องกรรมพันธุ์ จะเป็นสาเหตุไหม??

ผมยกให้ว่าเป็นแค่ข้อความเสี่ยงเท่านั้นครับ แต่ยังไม่ปักใจว่าจะเป็นสาเหตุ ยกเว้นเรื่องเดียวเลยคือ อวัยวะส่วนนั้นเกิดบกพร่องมาตั้งแต่เกิด เช่น มีไตข้างเดียว มีตับอ่อนไม่ดี มีหัวใจไม่แข็งแรง แต่ถ้าเกิดมาสมบูรณ์ทั้ง 32 แล้วจะมาเกิดโรคเสื่อมภายหลัง กรรมพันธุ์ไม่เกี่ยวข้องครับ 

มันไม่ได้เสมอไปที่พ่อแม่เป็นโรคเสื่อมแล้วลูกจะเป็นนะ แต่…ส่วนมากมักเป็น มันไม่ได้สืบสายผ่านสายเลือด แต่มันติดต่อกันผ่านพฤติกรรมเล่นแบบ พ่อแม่กินหวาน มีหรือที่ลูกที่อยู่ใกล้จะไม่กินหวานไปด้วย พ่อแม่ถ่ายทอดพฤติกรรมความเสี่ยงสู่ลูกผ่านการทำให้ดูให้เห็นให้สัมผัสจนเคยชิน จนติดตัวไปแบบไม่รู้ตัว นี่ต่างหากคือสาเหตุที่แท้จริง

เมื่อเรามีพฤติกรรมที่ผิดไปจากธรรมชาติอยู่บ่อยๆ นานๆ เข้า ก็ผิดแผกแตกต่างจากที่ธรรมชาติให้มา อวัยวะส่วนนั้นก็เริ่มเสื่อมไว แก่กว่าวัย (ไม่ใช่แค่ผิวพรรณนะ ทุกส่วนของร่างกายมีโอกาสแก่กว่าวันได้ทั้งนั้น)

พฤติกรรมพวกนี้เกิดสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “อนุมูลอิสระ” พฤติกรรมผิดๆ ทุกๆ อย่างทำให้อนุมูลอิสระที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ยิ่งมีมากขึ้นมากขึ้น เมื่อมันไม่สมดุล อนุมูลอิสระเกิดมากเกิน โรคเสื่อม (NCDs) จึงบังเกิดขึ้นในร่างกายเรานั่นเอง

นี่แหละ ตัวแม่ของโรคเสื่อมทุกชนิด มันทำให้ร่างกายต้องกลายพันธุ์เพื่อให้เซลล์รอด พอเริ่มเกิดโรคเสื่อมแรก นี่คือสัญญาณบอกว่าสารอนุมูลอิสระมีมากแล้วในร่างกาย หากปล่อยไว้ สารอนุมูลอิสระ ก็จะก่อตัวเป็นอีกโรคเสื่อมหนึ่งตามมา จึงไม่แปลกเลยที่ทำไม คนที่เป็นโรคเสื่อมมักไจะไม่มีเพียงแค่โรคเดียว เช่น ไตมา ตับก็จะไม่ดี เบาหวานก็ตาม ความดัน และจบด้วยมะเร็ง เป็นต้น

ฉะนั้นหากเราต้องการห่างไกลพวกนี้ เราจึงต้องดูแลตัวเอง ด้วย 3 อ. ออกกำลังกาย อากาศ และอาหาร สร้างพฤติกรรมต่างๆ เพราะเสริมสร้าง “สารต้านอนุมูลอิสระ” – Natural Killer Calls – เซลล์นักฆ่า (ฆ่าอนุมูลอิสระ) มีสิ่งนี้มากในร่างกายเราจะห่างไกลโรคเสื่อม

ณ ตอนนี้การรักษาโรคเสื่อมด้วยยาเคมี ปัจจุบันก็มีเฉพาะการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ เจ็บตรงไหนแก้ตรงนั้น แก้ไม่ได้ก็ตัดออก แต่ท้ายสุดก็ไม่หายขาดสักที 

หากคุณต้องการรักษาจริงๆ แก้ปลายเหตุอย่างเดียว ไม่จบง่ายหรอกครับ เราต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุด้วย เมื่อโรคพวกนี้เกิดจากสารอนุมูลอิสระ เราต้องทำให้ร่างกายเรามีสารต้านอนุมูลอิสระให้มากๆ นี่คือวิธีแก้ไขที่ตรงจุดที่สุด แก้ไขที่ต้นเหตุ 

หากตอนนี้ใครที่เป็นโรคเสื่อมไปซะแล้ว ก็จำเป็นต้องรักษาไปตามอาการ แต่ก็อย่าลืมเพิ่มกองทัพต้านอนุมูลอิสระด้วย เพราะมันคือวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้คุณเอาชนะมันได้จริง ถ้าลมหายในยังไม่หยุด ก็อย่าคิดยอมแพ้

“สงครามมันยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหารนะครับ”

ผมบุรินทร์ จันวิไชย ยินดีเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพ

เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระอย่างธรรมชาติ ด้วยการแพทย์ทางเลือกควบคู่แผนปัจจุบันสมุนไพรจีนโหย่งเหิง คลิก: BurinOnline.com/Yong