กินเหล้าวันปีใหม่ ระวังตายไว
สุขสันต์วันปีใหม่
เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะฉลองด้วยการกินเหล้า สุรา
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไปตามมารยาท
ไม่ว่าจะด้วยความจำเป็นอะไรก็ตาม แต่การกินเหล้ามากเกินกว่า 100 cc ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี
แม้คุณจะเมาไม่ขับแต่ก็มีความเสี่ยงที่คุณจะมีไขมันส่วนเกินในร่างกาย จนไปอุดตันหลอดเลือดและอาจทำให้อันตรายต่อชีวิตได้

แล้วจะกินยังไงให้ถูกวิธี ไปดูกันครับ

ไม่ว่าจะต้มเป็นยา หรือว่าใส่เป็นอาหารก็ตาม

คุณลองกินขิงทุกวันดูสิ สุขภาพดีขึ้นแน่นอน

อาการการย่อยจะดีขึ้น ลดท้องอืด ท้องเฟ้อ และยังช่วยย่อย

หากคุณเพิ่งไปกินเนื้อมาเต็มท้อง แต่ไม่อยากให้อาหารที่กินค้างในระบบทางเดินอาหารนานๆ

แนะนำกินขิงเลย ช่วยระบายอาหารหมักหมมให้ออกไปเร็วกว่าเก่า

ทั้งปรับระบบไหลเวียนเลือด และปรับฮอร์โมนให้แข็งแรง

เราขอแนะนำ กระชาย มีสรรพคุณฤทธิ์ร้อน รสเผ็ด ช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนดี ปรับสมดุลความดัน ทำให้เซลล์ทำงานได้อย่างเต็มที่

ลดบ่อเกิดมะเร็งอวัยวะเพศ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เพิ่มน้ำนมแม่ เพิ่มมวลกระดูก กระดูกแข็งแรง แก้หวัดให้เด็ก อวัยวะทำงานได้ดี

VDO นี้จะบอกเล่าเรื่องการเลือกซื้อแตงโมที่ดีที่สุด และการปอกแตงโมให้มีรถชาติดี

นอกจากนี้คุณรู้หรือไม่ว่าเนื้อขาวๆ ของแตงโม อุดมไปด้วยสารอาหารสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมายอย่างที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

VDO นี้ เราจะเล่าถึงสูตรการทำน้ำแตงโมปั่น ในรูปแบบต่างๆ

ขิงมีสรรพคุณ ฤทธิ์ร้อน ป้องกันหวัด ไล่ความชื้น คัดจมูก ช่วยเพิ่มไฟย่อยในระบบย่อยอาหาร ช่วยย่อยน้ำตาลและไขมันสะสมในร่างกาย ขยายหลอดเลือด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม ลดความดัน รักษาอาการปวดไมเกรน กระตุ้นระบบน้ำในร่างกาย

นอกจากนี้ ขิงสามารถกินได้ 4 วิธี

1. กินขิงสด

2. ต้มขิงคั้นน้ำ

3. ชงขิงดื่ม

4. สกัดขิงจากโซดา

ใน VDO นี้ จะบอกสรรพคุณและวิธีการกินขิงไม่ให้เบื่อ เพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง

ลูกกระเจี๊ยบเขียว อีกหนึ่งอาหารคู่กระเพาะ
ลูกกระเจี๊ยบเขียว มีฤทธิ์ช่วยสมานแผลบริเวณทางเดินอาหาร กระเพาะ และลำไส้
โดยส่วนที่จะช่วยรักษาแผลนั่นคือ เมือกใสๆ ฉะนั้นหากกินให้ได้ผลในด้านการรักษาแผลในทางเดินอาหาร แนะนำให้ลวกก่อนจะทำให้เมือกนี้ออกมามากขึ้น

นอกจากนี้ยังช่วย
– ต้านเซลล์มะเร็ง
– ลดแบคทีเรีย สาเหตุเกิดโรคบริเวณทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในกระเพาะ
– ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดในร่างกาย สำหรับผู้ป่วย และสตรีตั้งครรภ์
– ช่วยทำให้ทารกในครรภ์สมบูรณ์แข็งแรง
– ช่วยรักษาสมดุลความดันโลหิต และระดับน้ำตาลในเลือด
– ช่วยเรื่องสมรรถภาพทางเพศ
– มีคลอโรฟิล

มะเขือยาว นับเป็นผักที่ใครๆ ก็รู้จักและเคยกิน ทั้งกินสด ทั้งแบบย่าง หรือใส่ในไข่เจียว
เชื่อไหมครับว่า มะเขือยาวนี้มีคุณค่าทางอาหารสูง ในการเสริมสร้างสมรรถภาพ และพละกำลังได้ดีเลยที่เดียว เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย บำรุงร่างกาย

ทั้งวิตามิน A, B
โซเดียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ถูกควบคุมเรื่องอาหารเค็มๆ เช่น โรคไต โรคความดันสูง ก็สามารถกินมะเขือยาวทดแทนสารอาหารส่วนนี้ได้

มะเขือยาวนี้จะช่วยดูแลอาการโรค
– ความดันสูง เบาหวาน ความจำเสื่อม และอัมพาต
– ในมะเขือยาว มีสารที่ชื่อว่า พาโนนอย สารนี้จะช่วยนำพาสารอาหารเข้าไปเลี้ยงในส่วนต่างๆ ของร่างการ และสมอง
ทำให้ผู้ที่ชอบกินมะเขือยาว จะมีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์ ความจำเสื่อม ในอัตราที่น้อยกว่าคนที่ไม่กินมะเขือยาว
– ช่วยเรื่องความยืดหยุ่นของหลอดเลือด ลดอาการเส้นเลือดเปราะแตก
– ในมะเขือยาวยังมีสารเทนนิน ช่วยเรื่องการสมานแผล ลดการอักเสบทั้งภายในและภายนอก

แตงโม นับเป็นอาหารที่หลายคนเคยกิน และชอบกิน
เชื่อไหมครับว่าแตงโมมีเผักชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ผลไม้นะ
แตงโมเป็นผักที่มีฤทธิ์เย็นชนิดหนึ่ง และมีน้ำในปริมาณสูงถึง 95% มีแคลลอรี่ต่ำ ทำให้คลายร้อน
ความเขาใจผิดของหลายคนอาจไม่กล้ากินแตงโมเพราะยาเยอะ จริงๆแล้วแตงโมแทบจะไม่มีสารพิษค้างในเนื้อ เพราะหากมีสารพิษเข้าไป เนื้อจะเน่า หรือเนื้อจากขาวซีดจืด เราจึงพบแต่ที่เปลือก ก่อนกินก็ล้างให้สะอาดก่อน

ในเนื้อแดงของแตงโมมีสารไลโคปีน สูง สารไลโคปีนเป็นสารอนุมูลอิสระ ที่มีคุณสมบัติชะลอแก่ ต้านมะเร็ง
– ป้องกันโรคหัวใจ
– บำรุงผม บำรุงตา
– ลดความร้อนในร่างกาย
– มีสารที่ช่วยรักษาแผลในปาก

มันมีอีกส่วนหนึ่งที่หลายคนอาจจะทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่มีประโยชน์มาก นั่นคือ
เปลือกแตงโม
ส่วนที่เป็นสีขาวๆ มันเป็นส่วนที่กินได้และหลายคนเอาไปใส่ในแกงส้มด้วย
เปลือกแตงโมมีสารซิทรูไรด์เป็นจำนวนสูงมาก ถือเป็นยาของแตงโม ซึ่งมีประโยชน์ ดังนี้
– บำรุงระบบเลือด ช่วยขยายหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
– ช่วยให้เซลล์ต่างๆ แข็งแรง เพราะระบบเลือดไหลเวียนได้ดี รวมถึงทำให้มีสมรรถภาพทางเพศดีขึ้น ได้สารอาหารจากเลือดได้ดีขึ้น
– บำรุงผิว ทำให้ชุ่มชื่น ปรับสภาพผิว แก้อาการผิวไหม้จากแดด ผลัดเซลล์ผิวใหม่ ด้วยวิตามิน A
– ชะลอแก่ มีสารต้นอนุมูลอิสระ ยับยั้งมะเร็ง ด้วยเบต้าแคโรทีน แอนโทไซยานิน
– ดูแลกระเพาะ ระบบลำไส้ ม้ามให้แข็งแรง
– บำรุงร่างกายให้ฟื้นตัวเร็ว
– ปรับสภาวะหัวใจ
– รักษาความสมดุล คลอเลสเตอรอล และความร้อน ด้วยแคโรทีนอยด์ โพแทสเซียม
– ดูแลนิ่วในไต ขับปัสสาวะ ลดการทำงานของไต
– ช่วยรักษาระดับของความดันโลหิต
– ต่อต้านการอักเสบในเซลล์
– เหมาะสำหรับผู้ที่อยากลดความอ้วน

ต้นหม่อน หรือที่ฝรั่งเรียกว่า มัลเบอรี่ เป็นพืชที่ปลูกในเมืองไทยมานานมากๆๆ แล้ว
แต่ก่อนเรารู้จักต้นหม่อนเพีงแต่เป็นต้นที่เป็นอาหารของหนอนไหม ใบเอาไว้เลี้ยงตัวไหม เปลือกไม้เอาไว้ทำกระดาษ

แต่ปัจจุบันเรารู้จักต้นหม่อนมากกว่านั้นมาก และเป็นผลไม้ยอดนิยมทานกันมาก
ต้นหม่อนนั้น มีประโยชน์ทุกส่วน แต่ในบทความนี้ผมขอยกส่วนที่กินได้นะครับ
ลูกหม่อน อุดมไปด้วยวิตามินเพียบ โดยเฉพาะวิตามินซี ส่วนใบเราสามารถทำเป็นชาหรือใส่ในแกงเพื่อให้รสชาตอูมามิ โดยไม่ต้องใช้ผงชูรสเลย

ในประเทศจีนได้ปลูกต้นหม่อนเพื่อเป็นผลไม้และเป็นยามานานกว่า 3,000 ปี
ในประเทศญี่ปุ่น ได้ทำวิจัยพบว่าผลิตภัณฑ์ที่มาจากหม่อน ใช้รักษาโรคเบาหวานได้ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มระบบเผาผลาญ ลดอาการเมื่อยล้า และมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าน้ำชาจากใบชาทั่วไป
สำหรับในทางยาแล้วหม่อนมีสรรพคุณดังนี้
– มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอแก่ ต้านโรคมะเร็ง ด้วยวิตามิน A และ B สูง
– มีธาตุเหล็ก แคลเซียม สังกะสี เบต้าแคโรทีน โปรตีน กรดอะมิโน 18 ชนิด วิตามินและเกลือแร่ โพแทสเซียม
– มีกรดแอคครอบิกสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะพบมากในใบหม่อน ลดการอักเสบของเซลล์
– มีกรดแคริก ช่วยกระตุ้นการหลั่งสารอินซูลิน ลดระดับน้ำตาลให้เลือด จากการวิจัยพบว่า หลังจากดื่มชาใบหม่อนประมาณ 2 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง นอกจากนี้ยังยับยั้งเอนไซม์ย่อยและดูดซึมน้ำตาล ทำให้ช่วยบล็อคน้ำตาลเข้าสู่เส้นเลือด
– ชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่เส้นเลือด
– ลดคลอเลสเตอรอล จากการวิจัย หลังดื่มชาใบหม่อน 3 เดือน ค่าไตรกีเซอไรด์ลดลง
– ลดการจับตัวของลิ่มเลือด ลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจอุดตัน
– ลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย บรรเทาอาการป่วย ต้านการอักเสบ
– เพิ่มระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดี
– ลดความดัน ลดไขมันในเลือด ลดคลอเลสเตอรอล

วิธีการกินหม่อน
1. ลูกหม่อน กินเป็นผลไม้ได้เลยเต็มที่
2. ใบหม่อนเอาใส่ในแกง 1 – 2 ใบ
3. ทำเป็นชา ตากแดดแล้วคั่วใบให้แห้ง หรือใบสด ต้มกับน้ำ 30 นาที แช่ทิ้งไว้จนอุ่นเย็น

ข้อควรระวัง
– อย่าดื่มชาใบหม่อนมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้ระดับน้ำตาลลดมากเกินจนทำให้เวียนหัวได้