หัวใจของการกินสมุนไพรให้ได้ผล คือ…
เริ่มกินจากน้อย แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้น และต้องต่อเนื่อง

ความล้มเหลวของการกินสมุนไพร คือ…
ใจร้อน ไม่ทนต่อภาวะล่อหลอกของโรค จึงทำให้หยุดกินหรือกินไม่ต่อเนื่อง

อาจมีหลายคนที่ได้ทดลองดื่มสมุนไพรจีนโหย่งเหิงแล้วรู้สึกว่า กินแล้ว มีอาการปวดเมื่อยมากขึ้น
สรุปแล้ว สมุนไพรโหย่งเหิง ดีจริงไหม
หรือว่าดีจริง แต่ตัวเราไม่ถูกกับยาหรือเปล่า

บอกได้เลยว่า มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอกครับ แต่ที่เกิดอาการนั้น ในทางวงการยาสมุนไพร เขาจะเรียกว่า “ภาวะกระทุ้งพิษ”

ภาวะกระทุ้งพิษ เป็นภาวะที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ร่างกายกำลังปรับสภาพ จากช่วงป่วยๆ สู่การฟื้นตัวเอง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นประมาณ 5 – 7 วันแรก เพื่อขับของเสีย และฟื้นฟูส่วนที่สึกหรอ
ช่วงเวลานี้เองที่นับเป็นช่วงที่ดูโดยรวมอาจจะดูแย่ลง แต่ถ้าเราใช้ระบบสถิติ เราก็จะเห็นว่า ในแต่ละวัน อาการนั้นๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ
และเมื่อผ่านพ้นช่วงเวลากระทุ้งพิษ เราจะรู้สึกเลยว่าสภาพร่างกายเราดีขึ้น ตัวเบาขึ้น ยิ่งกว่าก่อนเริ่มทานซะอีก

นี่แหละครับคือสาเหตุ ซึ่งผมอยากให้เราได้เข้าใจ เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าจู่ๆ เราหยุดกินเพราความกลัว หรือเพราะความไม่รู้ ไม่ได้ตื่มอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราก็จะไม่สามารถก้าวข้ามด่านปรับสภาพ เพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูตัวเองได้เลย มันจึงเป็นสิ่งที่น่าเสียหายมาก
เพราะสมุนไพรที่ดีและเข้มข้ม ส่วนมากมักจะเกิดเหตุการณ์นี้ ถ้าหยุดกิน ก็คงไม่ต่างจากทิ้งสมุนไพรดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย

คนที่อยากจะมี #อาการดีขึ้นด้วยสุมนไพร #ต้องเข้าใจหลักการรักษาของสมุนไพร
ซึ่งหลักการของการรักษาโรคด้วยสมุนไพร จะแตกต่างจากยาแผนปัจจุบันอย่างชัดเจน ชนิดที่สวนทางกันเสียด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาการรักษา เป้าหมายการรักษา และหลักการขับสารพิษ
ฉะนั้นหากเราอยากใช้ยาสมุนไพรให้ได้ผล ต้องเข้าในในหลักการนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องภาวะขับสารพิษ ปรับสมดุล หรือเรียกว่าภาวะกระทุ้งพิษ

ถ้าตอนนี้เรากินยาแผนปัจจุบันอยู่หรือกินอาหารเสริมอื่นๆ อยู่ หรือกินยาสมุนไพรยี่ห้ออื่นอยู่
จะกินสมนไพรได้ไหม ดื่มสมุนไพรจีนโหย่งเหิงได้ไหม ถ้ากินเข้าไปแล้วมันจะตีกันไหม

เป็นคำถามที่น่าสนใจมากเลย เราอาจมีความเชื่อว่า กินยาหลายตัว มันสามารถตีกันได้ หรือกลัวว่าจะเป็นการกินยาซ้ำซ้อน

ผมขออธิบายแบบนี้นะครับว่า 
1. ยาแผนปัจจุบัน จะมีฤทธิ์ในการรักษาแบบทางตรง คือ ปวดหัว กินยาแก้ปวด ก็หายปวดเลย เป็นการรักษาให้ระงับอาการที่เกิดขึ้น ด้วยฤทธิ์ทางยาที่เป็นเคมี เป็นการดูแลรักษาร่างกายโดยเน้นปลายทาง เจ็บปวดอะไร ก็รักษาจุดตรงนั้น 
2. ยาสมุนไพร จะมีฤทธิ์ในการรักษาแบบลึก คือ ปวดหัว สมุนไพรจะไม่ได้ไปแก้ให้หายปวดหัวในปัจจุบัน แต่ฤทธิ์สมุนไพรจะเข้าไปบำรุงที่ต้นเหตุของปัญหาที่ก่อให้เกิดโรคนั้นๆ บำรุง บำบัด เซลล์ที่มีปัญหาในการทำงานต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรค ฟื้นฟูซะ เมื่อเซลล์จุดนั้นได้รับการฟื้นฟูก็จะทำให้อาการเจ็บปวดเริ่มทุเลาลง

เห็นไหมครับว่าการรักษาทั้ง 2 ทางนี้ทันสวนทางกันเลย ยาแผนปัจจุบันรักษาจากปลายทาง สู่ต้นทาง ยาสมุนไพร บำรุงบำบัดจากต้นทางสู่ปลายทาง
ข้อดีของยาแผนปัจจุบัน คือ อาการเจ็บปวดทุเลาเร็ว เห็นผลเร็ว แต่ประเด็นคือ ปัญหาต้นทางอาจจะยังไม่ถูกแก้ไข อาการนั้นอาจจะกลับมาได้อีกไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ข้อดีของยาสมุนไพร คือ เข้าฟื้นฟูจากต้นเหตุของปัญหาโรค แต่ประเด็นคือ ความเจ็บปวดจะไม่ได้ทุเลาในทันที ต้องใช้เวลาฟื้นฟูในต้นทางก่อนปลายทางจึงจะเห็นผล

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะรักษาแบบตรง หรือบำรุงแบบลึก มันก็สำคัญทั้งนั้น การรักษาโรคก็เหมือนการทำสงคราม ถ้าเรามีกองหน้าดี กองหลังสุดยอด เราก็สามารถพิชิตโรคได้ง่ายขึ้น ตีขนาบโรคไปทั้งสองทาง

ดังนั้นการกินควบคู่กับไปทั้งสองสูตร จึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง และมันจะไม่ตีกันอีกด้วย
ง่ายๆ คือ ทานยาให้ห่างกัน สัก 30 นาที ยาก็ไม่มีโอกาสตีกันแล้ว

นอกจากนี้คุณสมบัติของยาสมุนไพรยังช่วงส่งเสริมการรักษาของยาแผนปัจจุบันอีกด้วย นั่นคือ

ช่วงเวลาที่เรารู้สึกป่วย เซลล์ในร่างกายเราก็รู้สึกป่วยเหมือนกัน เซลล์จะรู้สึกไม่อยากทำงาน ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ อ่อนแอ ไม่มีแรง และไม่อยากกินอะไร กินไม่ลง 
เมื่อเซลล์ไม่ยอมเปิดรับยา สารอาหารและการรักษา จึงทำให้การรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันเป็นไปได้ยาก ก็ปิดกั้นไม่ยอมรับยา เซลล์ก็แย่ลงเรื่อยๆ
แต่เมื่อทานยาสมุนไพรที่มีคุณสมบัติบำรุงบำบัดเซลล์ ก็จะทำให้เซลล์รู้สึกแข็งแรงขึ้นกำพลังมาขึ้นสดชื่นขึ้นก็เริ่มเปิดรับยาได้ดีกว่าเดิมพอเรากินยาแผนปัจจุบันเข้าไปก็รับได้อย่างเต็มที่
เมื่อเซลล์ได้รับการรักษาจึงเริ่มแข็งแรงมากขึ้น เริ่มเอาชนะโรคได้ร่างกายจึงรู้สึกดีมากขึ้น ที่เห็นผลได้ชัดเจนนั่นคือ คุณหมอจะเริ่มลดยาแผนปัจจุบันลง นั่นคือสัญญาณบอกเราว่าร่างกายเรามีอาการดีขึ้น จึงไม่ต้องกันยามากเหมือนก่อนแล้ว

มันคือการจับมือร่วมกันอย่างลงตัวมากเลยทีเดียว ทั้งแผนปัจจุบัน และแผนโบราณ

สำหรับผู้ที่ทานสมุนไพรตัวอื่น หรืออาหารเสริมตัวอื่นอยู่ แล้วจะทางสมุนไพรโหย่งเหิงได้ไหม จะตีกันไหม คำตอบคือ ก็หลักการเดียวกันกับยาแผนปัจจุบันนั่นแหละครับ
ขอเพียงให้ทานห่างกัน 30 นาที ก็ไม่ตีกันแล้ว และสมุนไพรแต่ละอย่างก็ไม่ถือว่าเป็นยาซ้ำซ้อนด้วย สมุนไพรแต่ละตัวก็มีหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ไม่ซ้ำซ้อนกันครับ

คุณสามารถชมตัวอย่าง รีวิวผู้ใช้สมุนไพรโหย่งเหิง ในเมนูที่เราจัดเตียมไว้ครับ 

เคสนี้เป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์ในเครือของสมุนไพรจีนโหย่งเหิงนะครับ

สมุนไพรจีนโหย่งเหิง ผลิตด้วยวิธีการหมักบ่มสมุนไพรมากกว่า 3 เดือน ในแอลกอฮอร์บริสุทธิ์ ที่เรารับมาจากกรมสรรพสามิต ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการทำยาในวงการทางการแพทย์โดยเฉพาะ เพื่อให้ยาสมุนไพรถูกดึงออกจากสมุนไพรให้ครบถ้วน

ที่เราต้องใช้แอลลกอฮอร์เพราะ แอลกอฮอร์มีคุณสมบัติในการดึงคุณค่าทางอาหารได้ดี เป็นสารนำพาสารอาหารออกมาได้ดีมาก จึงทำให้ในสมุนไพรโหย่งเหิงมีคุณค่าทางอาหารแบบครบถ้วนและไม่ถูกทำลาย เหมือนการต้ม

ที่สำคัญการใส่แอลกอฮอร์ยังช่วยให้ยาสมุนไพรสามารถอยู่ได้นาน ฆ่าเชื้อโรคแบบธรรมชาติโดยไม่ต้องใส่สารกันบูด

โดยก่อนจะนำสมุนไพรมาบรรจุลงขวด เราได้ระเหยแอลกอฮอร์บริสุทธิ์ออกให้เหลือ 10% ซึ่งในทางการแพทย์ก็ยอมรับและมีผลการวิจัยว่า การทานแอลกอฮอร์บริสุทธิ์ 10% วันละไม่เกิน 100 CC จะช่วยบำรุงระบบเลือด เลือดไหลเวียนดี ลดอาการเลือดข้น ชะล้างไขมันอุดตัน บำรุง ตับ ไต และหัวใจ

แอลกอฮอร์บริสุทธิ์ คือ เหล้า สุรา ใช่หรือไม่

หากคุณกำลังมีคำถามนี้แสดงว่า คุณกำลังติดภาพของยาดองอยู่
เป็นเรื่องธรรมดาครับ เพราะสังคมไทย มีการผลิตยาในรูปแบบของยาดองเยอะมาก แต่ประเด็นคือ ยาดองใช้เหล้าขาวนะ ซึ่ง สุรา หรือเหล้าขาว หรือเหล้าสี ในนั้นไม่ได้มีแต่แอลกอฮอร์อย่างเดียวนะ ยังมีสารอื่นๆ อีกมากมาย หรือพูดง่ายๆ เหล้าจะมีดีกรีระบุ ดีกรี คือ อัตราส่วนผสมของแอลกอฮอร์ ในสุรา ซึ่งไม่มีสุราตัวไหนมีดีกรีเกิน 60 % แล้ว อีกมากกว่า 40% คือสารเติมเต็มที่เป็นโทษ จึงเรียกว่า เหล้า สุรา
ดังนั้น แอลกอฮอร์บริสุทธิ์ ไม่ใช่สุรา
สมุนไพรโหย่งเหิงไม่ใช่ยาดอง มันคือยาสมุนไพรที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอร์บริสุทธิ์ เฉกเช่นเดียวกับยาอื่นๆ เช่น ยาแก้ไอ ยาธาตุ ยาสตรี เป็นต้น

คนป่วยหนัก เป็นโรคตับ โรคไต หรือโรคที่หมอห้ามกินสุรา จะะกินสมุนไพรได้ไหม

อย่างที่ผมบอกไปว่า สมุนไพรโหย่งเหิง มีแอลกอฮอร์บริสุทธิ์ ไม่ใช่สุรา
ฉะนั้นสมุนไพรโหย่งเหิงจึงไม่มีอันตรายในการทำลายตับ ทำลายไต ในทางกลับกัน สมุนไพรโหย่งเหิงกลับช่วยเสริมสร้างตับ ไต หัวใจ หรออวัยวะต่างๆ ด้วย สมุนไพรโหย่งเหิง เกิดมาเพื่อบำรุง ไม่ใช่ทำลาย ย้ำอีกครั้งไม่ใช่สุรา
ซึ่งตรงนี้ คุณสามารถดูรีวิวผู้ป่วยโรคที่หมอห้ามดื่มสุรา แต่ดื่มสมุนไพรโหย่งเหิงได้เลยว่าหลังจากที่เขาได้ดื่มสมุนไพรโหย่งเหิง อาการเขาดีขนาดไหน
ก็สมุนไพรโหย่งเหิง เกิดมาเพื่อผู้ป่วยโดยเฉพาะนี่แหละ

นอกจากนี้ขนาดคนที่เคยแพ้สุรามาก่อนอย่างผม ลองดื่มสมุนไพรจีนโหย่งเหิงแล้ว ก็ไม่เกิดอาการแพ้แอลกอฮอร์แต่อย่างใด
ฉะนั้นถ้าถามว่า แอลกอฮอร์บริสุทธิ์ในสมุนไพรโหย่งเหิงเป็นอันตรายต่อร่างกายผู้ป่วยไหม บอกเลยว่าไม่ครับ แอลกอฮอร์ที่อยู่ในโหย่งเหิง มีสรรพคุณเป็นยา
ไม่ใช่อาหารให้โทษอย่างเช่นเหล้า สุรา ครับ

สำหรับคำถามที่ว่า พื่น้องชาวมุสลิม หรือ ผู้ถือศีล หรือ ผู้ทานมังสาวิรัส หรือ นับถือศาสนาที่ศีลห้ามดื่มสุรา จะดื่มสมุนไพรโหย่งเหิงได้ไหม

ผมยอมรับเลยว่า เรื่องนี้ตอบได้ยากมาก ขนาดผมเคยเป็นเจ้าของผู้ทำวิจัยทางวิชาการก็ยังตอบคำถามนี้ได้ยาก เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลักความเชื่อ ไม่ใช่หลักวิชาการ จึงหาคำตอบได้ยาก ปัจจุบันขอบอกข้อมูลว่า สมุนไพรโหย่งเหิงไม่มีเครื่องหมายฮาราลนะ
ยังไงผมก็ขอเล่าทั้ง 2 แนวความคิด แล้วคุณก็ตัดสินใจเอานะครับ 

แนวคิดที่ 1: ยึดถือแนวการตีความตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัด
ในเมื่อหลักความเชื่อบอกไว้ชัดเจนว่าห้ามดื่มสุรา ก็ต้องห้ามดื่ม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ถ้ามีสุราเป็นส่วนผสมก็ดื่มไม่ได้ และคำว่าสุรานี้ก็ยังหมายความรวมถึงแอลกอฮอร์บริสุทธิ์ที่กล่าวมาแล้วนี้ด้วย 

แนวคิดที่ 2: ยึดถือแนวการตีความตามเจตนาที่แท้จริง
บุญ-บาป เกิดจากการกระทำ การกระทำเกิดจากเจตนาที่จะทำ หลักข้อห้ามดื่มสุรานี้ มีเจตนารมณ์เพื่อไม่ให้เราทำร้ายตัวเองด้วยการดื่มสิ่งมึนเมา มอมเมาสติและความคิด จนกระทบต่อปัญญาและความสามารถในการบรรลุถึงธรรม ฉะนั้นการดื่มยาที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอร์ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ก็สามารถทานได้ เพราะเรามีเจตนารักษาร่างกาย ไม่ใช่มุ่งหวังเพื่อสร้างความมอมเมาสติให้เป็นอุปสรรคในการบรรลุธรรม

ฉะนั้นจะตัดสินใจดื่มหรือไม่ เห็นด้วยในแนวคิดไหน ขอให้คุณตัดสินใจตามความเชื่อและความสบายใจของคุณเองนะครับ

แต่หากคุณอยากดื่มสมุนไพรโหย่งเหิง แต่ไม่อยากแอลกอฮอร์บริสุทธิ์มาก เพื่อความสบายใจ ผมก็มีวิธีการชะล้างแอลกอฮอร์ออกไปก่อนดื่ม ด้วยวิธีการดังนี้
1. ใส่ยาสมุนไพรโหย่งเหิงในแก้วตวง และผสมน้ำร้อนเดือด ปล่อยให้เย็นแล้วค่อยดื่ม แอลกอฮอร์บริสุทธิ์ถูกความร้อนก็ระเหยแล้ว
2. เปิดดื่มแล้วให้เอาขวดสมุนไพรโหย่งเหิงแช่ตู้เย็น แล้วแอลกอร์ฮอร์จะระเหยเป็นอากาศในขวดมากขึ้นเมื่อเปิดขวดปุ๊บมันก็จะพร้อมระเหอออกทันที
3.เปลี่ยนเลยทานเป็นโหย่งหมิงแทน โหย่งหมิง คือ สมุนไพรโหย่งเหิงสกัดเย็นอันนี้ไร้แอลกอฮอร์แน่นอน และที่สำคัญแคปซูลของโหย่งหมิง มีเจลลาตินที่ทำมาจากปลาทะเล ฉะนั้นพี่น้องชาวมุสลิมทานได้ และมีเครื่องหมายฮาราลอีกด้วย
แต่ต้องทราบไว้ก่อนนะครับว่า จากประสบการณ์สมุนไพรโหย่งเหิงชนิดน้ำเห็นผลได้เร็วกว่าแบบเม็ด เพราะน้ำไม่ต้องย่อย ดูดซึมได้ง่าย และเข้าถึงเซลล์ได้ลึกกว่า

เคสนี้เป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์ในเครือของสมุนไพรจีนโหย่งเหิงนะครับ

สมุนไพรจีนโหย่งเหิง ผลิตด้วยวิธีการหมักบ่มสมุนไพรมากกว่า 3 เดือน ในแอลกอฮอร์บริสุทธิ์ ที่เรารับมาจากกรมสรรพสามิต ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการทำยาในวงการทางการแพทย์โดยเฉพาะ เพื่อให้ยาสมุนไพรถูกดึงออกจากสมุนไพรให้ครบถ้วน

ที่เราต้องใช้แอลลกอฮอร์เพราะ แอลกอฮอร์มีคุณสมบัติในการดึงคุณค่าทางอาหารได้ดี เป็นสารนำพาสารอาหารออกมาได้ดีมาก จึงทำให้ในสมุนไพรโหย่งเหิงมีคุณค่าทางอาหารแบบครบถ้วนและไม่ถูกทำลาย เหมือนการต้ม

ที่สำคัญการใส่แอลกอฮอร์ยังช่วยให้ยาสมุนไพรสามารถอยู่ได้นาน ฆ่าเชื้อโรคแบบธรรมชาติโดยไม่ต้องใส่สารกันบูด

โดยก่อนจะนำสมุนไพรมาบรรจุลงขวด เราได้ระเหยแอลกอฮอร์บริสุทธิ์ออกให้เหลือ 10% ซึ่งในทางการแพทย์ก็ยอมรับและมีผลการวิจัยว่า การทานแอลกอฮอร์บริสุทธิ์ 10% วันละไม่เกิน 100 CC จะช่วยบำรุงระบบเลือด เลือดไหลเวียนดี ลดอาการเลือดข้น ชะล้างไขมันอุดตัน บำรุง ตับ ไต และหัวใจ

แอลกอฮอร์บริสุทธิ์ คือ เหล้า สุรา ใช่หรือไม่

หากคุณกำลังมีคำถามนี้แสดงว่า คุณกำลังติดภาพของยาดองอยู่
เป็นเรื่องธรรมดาครับ เพราะสังคมไทย มีการผลิตยาในรูปแบบของยาดองเยอะมาก แต่ประเด็นคือ ยาดองใช้เหล้าขาวนะ ซึ่ง สุรา หรือเหล้าขาว หรือเหล้าสี ในนั้นไม่ได้มีแต่แอลกอฮอร์อย่างเดียวนะ ยังมีสารอื่นๆ อีกมากมาย หรือพูดง่ายๆ เหล้าจะมีดีกรีระบุ ดีกรี คือ อัตราส่วนผสมของแอลกอฮอร์ ในสุรา ซึ่งไม่มีสุราตัวไหนมีดีกรีเกิน 60 % แล้ว อีกมากกว่า 40% คือสารเติมเต็มที่เป็นโทษ จึงเรียกว่า เหล้า สุรา
ดังนั้น แอลกอฮอร์บริสุทธิ์ ไม่ใช่สุรา
สมุนไพรโหย่งเหิงไม่ใช่ยาดอง มันคือยาสมุนไพรที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอร์บริสุทธิ์ เฉกเช่นเดียวกับยาอื่นๆ เช่น ยาแก้ไอ ยาธาตุ ยาสตรี เป็นต้น

คนป่วยหนัก เป็นโรคตับ โรคไต หรือโรคที่หมอห้ามกินสุรา จะะกินสมุนไพรได้ไหม

อย่างที่ผมบอกไปว่า สมุนไพรโหย่งเหิง มีแอลกอฮอร์บริสุทธิ์ ไม่ใช่สุรา
ฉะนั้นสมุนไพรโหย่งเหิงจึงไม่มีอันตรายในการทำลายตับ ทำลายไต ในทางกลับกัน สมุนไพรโหย่งเหิงกลับช่วยเสริมสร้างตับ ไต หัวใจ หรออวัยวะต่างๆ ด้วย สมุนไพรโหย่งเหิง เกิดมาเพื่อบำรุง ไม่ใช่ทำลาย ย้ำอีกครั้งไม่ใช่สุรา
ซึ่งตรงนี้ คุณสามารถดูรีวิวผู้ป่วยโรคที่หมอห้ามดื่มสุรา แต่ดื่มสมุนไพรโหย่งเหิงได้เลยว่าหลังจากที่เขาได้ดื่มสมุนไพรโหย่งเหิง อาการเขาดีขนาดไหน
ก็สมุนไพรโหย่งเหิง เกิดมาเพื่อผู้ป่วยโดยเฉพาะนี่แหละ

นอกจากนี้ขนาดคนที่เคยแพ้สุรามาก่อนอย่างผม ลองดื่มสมุนไพรจีนโหย่งเหิงแล้ว ก็ไม่เกิดอาการแพ้แอลกอฮอร์แต่อย่างใด
ฉะนั้นถ้าถามว่า แอลกอฮอร์บริสุทธิ์ในสมุนไพรโหย่งเหิงเป็นอันตรายต่อร่างกายผู้ป่วยไหม บอกเลยว่าไม่ครับ แอลกอฮอร์ที่อยู่ในโหย่งเหิง มีสรรพคุณเป็นยา
ไม่ใช่อาหารให้โทษอย่างเช่นเหล้า สุรา ครับ

แต่หากคุณอยากดื่มสมุนไพรโหย่งเหิง แต่ไม่อยากแอลกอฮอร์บริสุทธิ์มาก เพื่อความสบายใจ ผมก็มีวิธีการชะล้างแอลกอฮอร์ออกไปก่อนดื่ม ด้วยวิธีการดังนี้
1. ใส่ยาสมุนไพรโหย่งเหิงในแก้วตวง และผสมน้ำร้อนเดือด ปล่อยให้เย็นแล้วค่อยดื่ม แอลกอฮอร์บริสุทธิ์ถูกความร้อนก็ระเหยแล้ว
2. เปิดดื่มแล้วให้เอาขวดสมุนไพรโหย่งเหิงแช่ตู้เย็น แล้วแอลกอร์ฮอร์จะระเหยเป็นอากาศในขวดมากขึ้นเมื่อเปิดขวดปุ๊บมันก็จะพร้อมระเหอออกทันที
3.เปลี่ยนเลยทานเป็นโหย่งหมิงแทน โหย่งหมิง คือ สมุนไพรโหย่งเหิงสกัดเย็นอันนี้ไร้แอลกอฮอร์แน่นอน
แต่ต้องทราบไว้ก่อนนะครับว่า จากประสบการณ์สมุนไพรโหย่งเหิงชนิดน้ำเห็นผลได้เร็วกว่าแบบเม็ด เพราะน้ำไม่ต้องย่อย ดูดซึมได้ง่าย และเข้าถึงเซลล์ได้ลึกกว่า

เรามักอาจจะชอบเจอกรณีที่ มีอาการป่วย อยู่ในการรักษาของแพทย์
ต่อมาได้มีโอกาสได้ลองกินสมุนไพร เมื่อไปตรวจร่างกายอีกครั้ง แพทย์พบผลที่มีความแตกต่างจากสเตปที่ได้เห็น อาจทั้งอาการดีกว่าเดิมแบบผิดหูผิดตา หรือ อาจมีอาการแย่ลงกว่าเก่าจนหาต้นชนปลายไม่ถูก

เป็นธรรมดาที่แพทย์จะถามเพื่อหาสาเหตุว่า คุณได้กินยาสมุนไพรมาหรือเปล่า
เมื่อเราบอกไปว่า ใช่!! กินยาสมุนไพรมา
แพทย์ก็มักจะสั่งให้ผู้ป่วยห้าม / หยุด กินยาสมุนไพรทันที และชี้แจงว่า มันจะอันตรายอย่างนั้นอย่างโน้น เราก็ผวาไปสิ!!

สรุปแล้วกินยาสมุนไพร อันตรายอย่างที่หมอบอกจริงหรือ???

เรื่องนี้ผมขอชี้แจงเหตุผลแล้วกันครับ ในฐานะที่ผมก็อยู่ในวงการโรงพยาบาล อยากจะบอกอย่างนี้ครับว่า

หมอส่วนใหญ่ รักคนไข้ครับ ไม่อยากให้คนไข้ป่วยหนัก ไม่อยากให้คนไข้ตาย อยากให้หายจึงต้องห้ามต้องเตือนด้วยความหวังดี ไม่อยากให้เกิดอาการที่ไม่คาดฝัน

อ้าวแสดงว่ากินสมุนไพรไม่ดีสิ ผมไม่ได้บอกอย่างนั้น

กินยาสมุนไพรนั้นดี ดีมากด้วย ยิ่งกินควบคู่กับยาแผนปัจจุบันก็จะส่งเสริมกันพอดี

แต่ที่คุณหมอต้องสั่งห้ามไว้ ก็เพราะคุณหมอไม่รู้ว่า

“ไอ้ยาสมุนไพรที่คุณกินหนะ มันคือ สมุนไพรอะไร มาจากไหน มีส่วนผสมอะไรบ้าง ใครผลิต มีใบรับรองมาตรฐานความปลอดภัยรึเปล่า”

อย่าลืมนะว่า สมุนไพรคือยาชนิดหนึ่ง การปรุงยา การผลิตยา ก็จำเป็นมากที่จะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญในการปรุงยาให้สารอาหารมันเข้ากันแบบลงตัว มีมาตรฐานและปลอดภัย

เพราะสมุนไพรบางตัว ใส่มากไปเป็นโทษ ใส่คู่กับอีกตัวหนึ่งก็เป็นพิษเอาได้ง่ายๆ
การปรุงยาสมุนไพร ถึงต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ

สมุนไพรมีประโยชน์ และมีสรรพคุณคุณค่าทางอาหารดี
แต่ถ้าปรุงผิดวิธี กินผิดขนาน ประโยชน์นั้นก็ผันเปลี่ยนเป็นพิษอันตรายได้นะ ต้องระวัง
ปรุงยาสมุนไพร ไม่ใช่ใครก็ทำได้สารอาหารสามารถทำปฏิกิริยากันแล้วก่อเกิดสารใหม่ขึ้นมาโดยที่เราคาดไม่ถึงก็ได้

สาเหตุนี้เองที่คุณหมอขอห้ามการกินสมุนไพรไว้ก่อน
เพราะคุณหมอรู้ดีว่าผู้ป่วยหลายคนนิยมของถูกๆ จึงมักซื้อสมุนไพรมาต้มกินเอง สรรหาสมุนไพรที่ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีการรับรองสูตร ไม่ได้การรับรองมาตรฐานการผลิต หรือรับรองความปลอดภัย ตามข้างทาง ต้มเอง ทำเอง หรือว่าว่ากันว่า บางรายก็โฆษณาเกินจริง หรือมีการใส่สารสเตียรอยเพื่อให้ผู้ทานรู้สึกว่ากินแล้วรู้สึกดี ก็มี

เออออออออ ยาสมุนไพรนะ ไม่ใช่แกงเลียงนะ ที่จะใส่อะไรยังไงก็ได้

แต่ถ้าคุณได้กินยาสมุนไพรที่ผลิตจากผู้เชี่ยวชาญ มีการรับรองคุณภาพมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข มีหลักฐานการจดทะเบียนรับรองความปลอดภัยในเชิงวิชาการ 
นั่นคือยาสมุรไพรที่ดี แพทย์ที่ไหนจะห้ามหละจริงไหม
ยาสมุนไพรที่ปลอดภัย คือ ยาที่ประกอบด้วยสมุนไพรที่ดี และมีการปรุงยาที่ถูกต้องด้วย 

หากคุณจะไปต้มยากินเอง ในฐานะผมเองก็ห้ามเหมือนกัน
ที่ห้ามก็เพื่อกันเอาไว้ก่อน และหมอก็ไม่กล้าบอกว่าสมุนไพรที่กินอยู่นั้นเป็นสมุนไพรดีหรือไม่ เพราะหมอก็ไม่ได้ทราบส่วนผสมที่มี

เขาห้ามเพราะเป็นห่วง กลัวคุณจะไปเที่ยวกันสมุนไพรเรื่อยเปื่อย ไร้ที่มาที่ไปยังไงหละ 

เลือกให้ดีๆ ก่อนจะกินสมุนไพรสักตัวหนึ่ง

ทีนี้ก็เป็นเรื่องของคุณแล้วหละว่าจะยังไง
หากหลาย 10 ปีที่ผ่านมา รักษาแบบเดิมก็ไม่เห็นจะมีหวัง บางครั้งก็ควรเพิ่มทางเลือกให้ตัวเองนะ

ที่สำคัญทางเลือกนั้นต้องมั่นใจด้วยว่า ต้องปลอดภัยแน่นอนมีการการันตีจากผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่อะไรก็ได้

เมื่อเรากินยาบางอย่าง เรามักจะได้ยิน 3 คำ ยอดฮิต

1. แพ้ยา

2. ผลข้างเคียงจากยา

3. ภาวะกระทุ้งพิษ

ซึ่ง 3 อย่างนี้ มีผลที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงเลย งั้นเรามีทำความเข้าใจ ทั้ง 3 คำนี้ก่อนนะครับ

1. แพ้ยา คือ ปฏิกิริยาที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเรามีการต่อต้านยาที่กินเข้าไป และพยายามดันออก ขับออก ไม่ยอมรับยาตัวนั้น เมื่อมีการขับออกก็อาจจะเกิดภาวะอาการแพ้ยา เช่น หลังกินยาแล้วมีผื่นคัน เปลือกตาบวม ริมฝีปากบวม มีแผลบริเวณเยื่ออ่อน ผิวหนังไหม้ เป็นต้น และแม้จะหายแพ้แต่พอกินยานั้นอีกก็เป็นอีก อาการไม่มีอัตราทุเลาเลยไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่ยอมหายแพ้ ซึ่งส่วนมากมักพบกับยาเคมี ร่างกายคือธรรมชาติ ยาคือเคมี จึงมีโอกาสไม่เข้ากันได้สูง และมีความรุนแรงสูง

2. ผลข้างเคียงจากยา ผลที่เกิดโดยไม่ได้จงใจให้เกิดขึ้นจากยานั้นๆ พูดให้เห็นภาพคือ ฤทธิ์ยามันปลิ้นไปออกฤทธิ์แบบอื่นที่ไม่ได้พึงประสงค์ ที่เกิดจากฤทธิ์ของยาเอง เช่น ทานยาแก้ปวดหวังให้หายปวด แต่กลับมีอาการแสบท้องเนื่องจากยาระคายกระเพาะ มันเกิดเพราะร่างกายแต่ละคนมีเด่นมีด้อยแตกต่างกันไป ซึ่งสามารถแก้ไขโดยทานยาในเวลาอื่น จากก่อนอาหาร ให้ไปทานหลังอาหารแทน หรือห้ามทานตอนท้องว่าง หรือยาบางชนิดมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงนอน  จะเห็นได้ว่าอาการข้างเคียงจากยาเป็นอาการที่เกิดจากฤทธิ์ของยาเอง และสามารถจัดการแก้ไขได้โดยการปรับเปลี่ยนวิธีทานยา และการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ไม่จำเป็นต้องห้ามใช้ยาเสมอไป กินเมื่อไหร่ก็เจอผลข้างเคียงเมื่อนั้น อาการไม่ได้ดีขึ้นเลย

3. ภาวะกระทุ้งพิษ เป็นอาการมักจะเกิดขึ้นตามปกติของยาสมุนไพร เกิดขึ้นเมื่อสรรพคณทางยาธรรมชาติเขาไปบำรุง บำบัด มักเกิดในช่วงแรก หากได้ทานต่อเนื่องอาการจะดีขึ้นตามลำดับ ภาวะกระทุ้งพิษเกิดจากตัวยาเข้าไปขับสารพิษที่ตกค้างนอนก้นให้ฟุ้งออกมาเพื่อทำการขับออกทิ้งไปผ่านระบบเลือด ทำให้ช่วงเวลานั้นร่างกายเราจะพิษสลายตัวออกมาตามกระแสเลือดมากขึ้น เพื่อรอคิวการขับออก ถ้าพิษมีมามากและเร็ว เราก็จะรู้สึกเหมือนป่วยมากขึ้น เมื่อพ้นระยะกระทุ้งพิษแล้วอาการก็จะดีขึ้นเรื่อง ยกตัวอย่าง คนที่เป็นอิสุกอิใสแล้วกินยาเขียว พอเริ่มกินกลับมีตุ้มออกมามากและเร็วขึ้น แต่พอพิษออกมาสุดอาการโรคก็เบาลง และแห้งหายตามลำดับอย่างรวดเร็ว

   อาการกระทุ้งพิษ จะมีอาการเหมือนผลข้างเคียงหรือแพ้ยาเลย แตกต่างตรงที่ ภาวะกระทุ้งพิษไม่ใช่ว่าร่างกายเราแพ้ยา แต่ที่มีอาการเป็นเพราะร่างกายเราแพ้สารพิษที่สะสมนอนก้นอยู่ในร่างกายมานานต่างหาก
   บางคนอาจจะเกิดขึ้นทันทีที่ได้รับยาสมุนไพรในช่วงสัปดาห์แรกๆ บางคนอาจจะรู้สึกดีขึ้นในช่วงแรกและร่างกายเริ่มขับสารพิษในช่วงต่อไป หรือบางคนไม่มีอาการเลยก็ได้ ขึ้นอยู่ว่าสารพิษสะสมในร่างกายมากน้อยขนาดไหน ต้องกินต่อเนื่องให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไป จึงจะพบเหตุการณ์ฟ้าหลังฝนที่สดใส ภาวะนี้สามารถป้องกันไม่ให้เกิดได้ หากพิถีพิถันในวิธีการกินยา
   เมื่อร่างกายขับสารพิษออกได้และได้รับการฟื้นฟู จะรู้สึกแข็งแรง หน้าตาสดชื่น ผ่องใส การนอนหลับจะดี หลับได้ลึกและนานขึ้น
   อาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการกระทุ้งพิษ เช่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อย ปวดท้อง เป็นผื่นคัน อ่อนเพลีย กระวนกระวาย นอนไม่หลับ  ปวดหัว ตึงๆ มึนๆปัสสาวะบ่อย ตัวร้อน คัดจมูก น้ำมูก คันคอ เป็นต้น (หรือจะไม่เกิดเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับร่างกายว่าแพ้สารพิษที่สะสมในร่างกายแบบนอนก้นมากน้อยแค่ไหน)

สำหรับสมุนไพรในเครือ JC ก็เป็นสมุนไพรธรรมชาติอย่างหนึ่ง เรื่องนี้ยาคนที่แพ้ยาได้ยากมากเพราะมันคือสารอาหารธรรมชาติ และหายากเช่นกันที่จะพบคนที่เกิดผลข้างเคียงจากยา

สิ่งที่เราจะพบอยู่บ่อย นั่นคือภาวะกระทุ้งพิษ
เพราะสมุนไพรไม่ว่าจะสูตรไหน จะมีสเตปการรักษาคือ ขับล้างสารพิษ — ฟื้นฟูร่างกาย — ปรับสมดุลร่างกาย
ซึ่งในสเตปแรก มันก็จะมีโอกาสพบภาวะกระทุ้งพิษค่อนข้างบ่อย ตามหลักการเรื่องภาวะกระทุ้งพิษที่เล่ามาแล้ว อาจจะเกิดขึ้นได้ หรือจะไม่เกิดก็ได้ ยิ่งใครทานตามที่ผมบอกแบบเคร่งครัด ก็จะเกิดภาวะกระทุ้งน้อยลง หรือไม่เกิดเลยก็ได้

ฉะนั้นจึงขอตอบว่าสมุนไพรในเครือ JC หาได้น้อยมากที่จะมีผลข้างเคียงจากยา เรามักจะพบแต่เรื่องภาวะกระทุ้งพิษ ถ้าเราทานตามคำแนะนำ ภาวะนี้ก็จะเกิดน้อยลงหรือไม่เกิดเลยก็ได้
ที่เราทราบว่ากินยาสมุนไพรนี้แล้วมีอาการ คือภาวะกระทุ้งพิษ ก็เพราะ พอเราทานอย่างต่อเนื่องอาการเหล่านี้ก็จะค่อยหายไป และเมื่อพ้นผ่านสเตปการขับล้างสารพิษก็จะไม่เจออาการพวกนี้อีก ซึ่งจะแตกต่างจากภาวะแพ้ยาหรือผลข้างเคียงจากยา ที่กินยาต่อเนื่องไปนานเท่าไหร่ก็ยังมีอาการอยู่นั่นไม่หายสักที มันคนละเรื่องกันเลยครับ

ย้ำอีกครั้ง ภาวะกระทุ้งพิษ ร่างการไม่ได้แพ้ยา หรือผลข้างเคียง
แต่เกิดจากร่างกายทำปฏิกิริยาเร่งการขับสารพิษที่สะสมในร่างกาย ผลที่เกิดขึ้นเกิดจากฤทธิ์ของสารพิษต่างหาก
เร่งขับสารพิษออกสิดี ดีกว่าปล่อยให้สารพิษสะสมนอนก้นจนกลายเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายๆ ในอนาคตเมื่อเราอ่อนแอกว่านี้